ตำนานอันโด่งดังแห่งพื้นที่ “สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา” ที่เล่าลือกันว่ามีทั้งเรือและเครื่องบินที่สูญหายเมื่อเข้าสู่เขตแดนนั้นอยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติก แต่พื้นที่ในลักษณะของ “สามเหลี่ยมมรณะ” บนพื้นดินก็ใช่ว่าจะไม่มี 

แม้ว่าอาจจะไม่โด่งดังเท่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวดา แต่พื้นที่ “สามเหลี่ยมอะแลสกา” ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ “คนหาย” ในพื้นที่แห่งนี้เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 20,000 คน 

ขอบเขตของสามเหลี่ยมอะแลสกานั้นได้รับการกำหนดอย่างคร่าว ๆ ว่าเป็นผืนป่าที่อยู่ในขอบเขตสามเหลี่ยมที่ลากเส้นสมมติจากเมืองอุตเคียจวิกไปยังเมืองแองเคอเรจและเมืองจูโนของรัฐอะแลสกา 

พื้นที่อันลึกลับแห่งนี้กลายเป็นดินแดนที่มีคนหายตัวไปตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1970 รวมแล้วไม่น้อยกว่า 20,000 คน ทั้งที่พื้นที่ละแวกนี้มีประชากรอาศัยอยู่เพียงน้อยนิด

เคน เจราร์ด นักวิทยาสัตว์ลึกลับและนักวิจัยภาคสนามชาวอเมริกันซึ่งเคยศึกษาวิจัยเกี่ยวกับพื้นที่แห่งนี้กล่าวว่าเขารู้สึกไม่สบายใจจริง ๆ ที่พบว่ามีคนหายตัวไป “อย่างแปลกประหลาด” หลายราย ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังหาคำอธิบายไม่ได้

เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ในรายการของ History Channel ว่า ระหว่างที่เขาวิจัยพื้นที่สามเหลี่ยมปริศนาแห่งนี้ มีกรณีของบุคคลสาบสูญหลายรายที่เขาหาสาเหตุไม่ได้ 

“มันไม่ใช่เรื่องแบบที่มีคนโดนหมีขย้ำจนตายหรือตกลงไปในรอยแยกบนเขา หลายกรณีนั้นเป็นแค่คนที่ออกไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ พวกเขาไม่ได้ออกไปเพื่อผจญภัยครั้งใหญ่ แต่ว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็หายไปอย่างไม่มีสาเหตุ” 

เจราร์ดยกกรณีของคนที่หายไป 2 คน รายแรกเป็นคนที่หายไปบนเรือสำราญ ส่วนอีกรายหนึ่งหายไปทั้งที่อยู่ในกลุ่มนักท่องเที่ยวขณะเยี่ยมชมบริเวณยอดเขา ซึ่งเป็นกรณีที่เขาและทีมงานอยู่ในเหตุการณ์ด้วย

สามเหลี่ยมอะแลสกาได้รับการขนานนามว่าเป็นพื้นที่ลึกลับสุดประหลาดเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 1972 เมื่อมีเครื่องบินเล็กหายไประหว่างบินจากเมืองแองเคอเรจไปยังเมืองจูโน บนเครื่องบินมีผู้โดยสาร 3 คนคือ โทมัส เฮล บ็อกส์ ซีเนียร์ หัวหน้าพรรคเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐตอนนั้น, นิค เบกิช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐอลาสกา และรัสเซล บราวน์ ผู้ช่วยของเขา

ทั้งสามคนรวมทั้งนักบิน หายตัวไปทั้งหมดอย่างไร้ร่องรอย และแม้ว่าจะมีการจัดทีมค้นหากันอย่างสุดกำลัง ซึ่งกินเวลานานกว่า 3,600 ชั่วโมงในรัศมี 325,000 ตารางไมล์ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นซากเครื่องบินหรือศพผู้เสียชีวิต 

เหตุการณ์ครั้งนี้กระตุ้นความสนใจของผู้คนมากมาย และทำให้เกิดการตั้งทฤษฎีต่าง ๆ นานา เนื่องจากบุคคลสูญหายเป็นบุคคลสำคัญของประเทศ แต่กลับหาเบาะแสใด ๆ ไม่พบเลยจนถึงทุกวันนี้ 

ใช่ว่าคนที่หายไปทุกคนจะไร้ร่องรอย ยังมีกรณีของแกรี แฟรงค์ โซเธอร์เดน หนุ่มจากนิวยอร์กที่ออกไปล่าสัตว์ป่าในเขตสามเหลี่ยมอะแลสกา ช่วงกลางทศวรรษ 1970 แล้วหายตัวไป และกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลงจนกระทั่งพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปก่อน

ครอบครัวของโซเธอร์เดนต้องรอคอยถึง 4 ทศวรรษกว่าจะพบร่องรอยของเขา เมื่อมีผู้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ในแม่น้ำพอร์คิวพายทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของอะแลสกา และหลังจากมีการตรวจสอบเปรียบเทียบดีเอ็นเอในปี 2565 ก็พบว่าเป็นกะโหลกศีรษะของโซเธอร์เดน ฝ่ายตำรวจอะแลสการะบุว่า เมื่อพิจารณาจากขนาด รูปร่าง และตำแหน่งของรอยฟันที่เจาะกะโหลกของเขา คาดว่าเขาน่าจะตกเป็นเหยื่อของหมีในป่า

แม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงของโซเธอร์เดน แต่น้องชายของเขาก็เชื่อว่าชายหนุ่มเสียชีวิตจากการโดนหมีขย้ำ 

แต่กรณีแบบของโซเธอร์เดนนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งมาก จำนวนคนที่หายตัวไปในหลักหมื่นภายในระยะเวลากว่า 5 ทศวรรษในพื้นที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่หายไปอย่างไร้ร่องรอย จึงทำให้สามเหลี่ยมอะแลสกากลายเป็นพื้นที่ที่ยังไขปมปริศนาไม่ได้จนถึงทุกวันนี้

ที่มา : ladbible.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES