ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนในการตั้งรัฐบาล “แพทองธาร1” นับจากวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 สั่งให้ “นายเศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากนายกรัฐมนตรี เหตุ “ไร้จริยธรรม” ที่ตั้งคนมีตำหนิเข้ามาเป็นรัฐมนตรี

ในที่สุดเมื่อวันที่ 12 กันยายน “น..แพทองธาร  ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ได้นำคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขึ้นเวทีแถลงนโยบายโชว์ 10 นโยบายเร่งด่วน ในการสร้างโอกาส คืนความหวังคนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

โดยนโยบายเร่งด่วน 10 เรื่องที่ รัฐบาล“แพทองธาร 1” จะดำเนินการทันที  ได้แก่ 1.การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ 2.ดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs 3. ลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค 4. สร้างรายได้ใหม่นำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี  5. กระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ผ่านโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet)

 6.ยกระดับการทำเกษตรเป็นเกษตรทันสมัย 7. ส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า สถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex)  8. แก้ไขปัญหายาเสพติด 9.เร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรม และ10. ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคม  สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจ

แต่ก่อน‘นายกฯอิ๊งค์’เข้าสภานำแถลงนโยบายรัฐบาลก็ได้เข้าทำเนียบฯ ก็ขอเดินสายมูไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา ทั้งไปสักการะพระพรหม บนตึกไทยคู่ฟ้า ศาลพระภูมิ และศาลตายาย โดยถือฤกษ์ดีตามโหราศาสตร์จีน วันเถาะประนีประนอม ทุกอย่างราบรื่นผ่านไปด้วยดี พบแต่สันติสุข

หลังจากที่รัฐบาล“แพทองธาร1”แถลงนโยบายเสร็จสิ้นแล้ว ก้าวต่อไปคือการ “คิกออฟ” เริ่มการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางกระแสการเมืองร้อน ภัยพิบัติเร้า ปลุกเสียงเรียกรัฐบาลเร่งสร้างผลงาน กู้ศรัทธา

เพราะกว่าจะได้รัฐบาล“แพทองธาร1”ต้องมีการร่อนตะแกรง สแกนคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีอย่างพิถีพิถันก็เพราะการตั้งรัฐบาลชุดนี้มีคำว่า “จริยธรรม” เป็นสารตั้งต้น ค้ำคออยู่ จึงเกิด “รัฐบาลสายโลหิต”ให้เห็นทั้ง “พ่อแทนลูก – น้องแทนพี่ –ลูกแทนพ่อ” ที่สำคัญ คือตัว “นายกฯแพทองธาร” มี “คุณพ่อทักษิณ” นายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า เป็นผู้ครอบครอง

บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม"สั่งเร่งแก้ปมวาดาแบนไทย | เดลินิวส์

อีกทั้งเส้นทางการตั้งรัฐบาลชุดนี้ยังปรากฏชัดถึงรัฐบาลสาแค้น ทำเอา“ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ถูกเขี่ยพ้นรัฐบาล หันไปดึง “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกับพรรคเพื่อไทย มาโดยตลอดเข้าร่วมรัฐบาล ผลัก 4 สส. ในกลุ่มของ “นายชวน หลีกภัย” ผู้นำจิตวิญญาณพรรคประชาธิปัตย์ออกไปอยู่อย่างโดดเดี่ยว

เรื่องเหล่านี้เหมือนประชาชนไม่สนใจแต่ล้วนเป็นบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์เพื่อเตือนความทรงจำว่าพรรคเพื่อไทยต้องเสียต้นทุนคะแนนศรัทธาจากคนเสื้อแดงไปถึงขนาดไหน

มาตอนนี้เมื่อเริ่มนับหนึ่งก็กลายเป็นว่า “นายกฯหญิง” เจอพายุเข้าประเทศไทย ฝนตกน้ำท่วมเกิดอุทกภัย ในภาคเหนือ มาทดสอบพิสูจน์ฝีมือ “นายกฯแพทองธาร” ท่ามกลางความละล้าละลัง ในช่วงสุญญากาศของ รัฐบาล“แพทองธาร1” ที่ยังไม่ได้แถลงนโยบายทำให้ไม่สามารถสั่งการโชว์ฝีมือได้อย่างเต็มหมัด ในช่วงที่เกิดวิกฤตความเป็นความตายของประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ จนใครต่อใครพากันถามหา “นายกฯ อิ๊งค์” หายไปไหน

แต่เมื่อได้เริ่มนับหนึ่งได้ “นายกฯหญิง” ก็เรียกประชุมทีมรัฐมนตรี ตั้งรับโดยพลันต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส นายกฯพร้อมรัฐมนตรี จึงวางคิวลงพื้นที่ช่วยซับน้ำตาผู้ประสบภัยอย่างเต็มแม็ก พร้อมเติมเต็มด้วยการกดปุ่มแจกเงิน 10,000 ให้กลุ่มเปราะบาง 

โดยขุนคลัง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและรมว.คลังออกมาการันตี รอบแรกภายจะเป็นเงิน 10,000 บาท 14.5 ล้านคน วงเงิน 1.4 แสนล้านบาท น่าจะกดปุ่มเคาะระฆังให้เงินก้อนแรกไหลได้วันที่ 25 กันยายน นี้ ซึ่งบรรดาพลพรรคเพื่อไทยเชื่อมั่นว่า จุดนี้จะสามารถกู้วิกฤตศรัทธาขึ้นมาได้รอบหนึ่ง

แต่ดูในก้าวต่อไปซึ่งฟังจากการอภิปรายแถลงนโยบายรัฐบาลในเวทีรัฐสภารัฐบาล “แพทองธาร1” เจอคำปรามาส จากแม่ทัพฝ่ายค้าน อย่าง “เท้ง” “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ที่ออกมาเย้ย รัฐบาล“แพทองธาร ”ว่า 1ปีที่ผ่านมามี 3 นายที่สูญเปล่า ส่วนคนไทย “เจ๊ากับเจ๊ง” เพราะเงินใหม่ยังไม่เข้า แถมหนี้เก่ายังไม่แก้ และ 3 ปีของรัฐบาล“แพทองธาร” หลังจากนี้ จะเป็นบทพิสูจน์ว่า จะ “เจ๊า” หรือ “เจ๊ง” ซึ่งมีความท้าทาย ในหลายเรื่อง

นโยบายเรือธงของรัฐบาลมีเป้าหมายของประชาชนอยู่ตรงไหน หรือ เป็นนโยบายเรือธง ให้ 3 นาย คือ “นายใหญ่ นายหน้า หรือนายทุน”  เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นนโยบายเรือธงให้นายใหญ่ได้ขึ้น นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีข้อสงสัยถึงการเปิดกว้างหรือล็อกการประมูล เพื่อเอื้อนายทุน และโครงการแลนบริดจ์ในการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเวนคืน เอื้อให้นายหน้าค้าที่ดินหรือไม่

30ปีไม่เคยท่วม! เชียงรายยังอ่วม สนามบินแจ้งเตือนนักเดินทางเผื่อเวลา |  เดลินิวส์

ขณะที่ขุนพลพรรคประชาชน (ปชน.)อย่าง “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร”สส.บัญชี ออกมาบอกแล้วว่า จะจับตาการทำหน้าที่ของรัฐบาล “แพทองธาร” เป็นกรณีพิเศษ เพราะทุกครั้งที่เห็นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ในอดีต พรรคไทยรักไทย มาเป็นพรรคพลังประชาชน มาจนถึงพรรคเพื่อไทยนั้น มีทั้งนโยบายประชานิยมที่นำงบประมาณวางนโยบายที่เกิดประโยชน์กับประชาชนโดยตรง ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว นอกจากนี้จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ที่ใช้เม็ดเงินจำนวนมาก ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีเรื่องคอร์รัปชั่น จนเป็นชนักปักหลังในการควบคุมรัฐบาล โดยมือที่มองไม่เห็นหรือผู้มีอำนาจที่อยู่หลังม่าน ที่คอยจัดการกับพรรคเพื่อไทย

การบริหารงานของ “รัฐบาลแพทองธาร1”ภายใต้เงาของบ้านจันทร์ส่องหล้า ก็ไม่ได้เดินไปได้ง่ายๆ ทุกย่างก้าวจะมีขวากหนามที่ต้องคอยถางให้พ้นทาง เพราะมีศัตรูรอบด้าน จ้องจับผิดทุกฝีก้าว ไม่ใช่เฉพาะเพียงแค่ฝ่ายค้านอย่างเดียว 

ดูได้จากที่ “แพทองธาร ชินวัตร”เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ยังไม่ถึงเดือนก็เจอนักร้องเดินสายร้องจนนับคดีไม่ถ้วน แล้วยังมียุทธการล้างแค้นอื่นๆ ตามมาอีกเห็นจากเกมร้ายการเมืองร้อน ที่มีการล้างแค้นกันหนักหน่วง

ในช่วงนี้ “นายกฯอิ๊งค์” ต้องระวังตัวและตั้งรับเกมร้อนเอาไว้ให้ดี เพราะจากคดีสี่คลิปออกมาแฉคนบ้านป่า ก็เป็นเพราะมีจุดเริ่มต้นมาจากที่กลุ่มคนบ้านป่าออกมาบอกว่า จะนำคลิปการจัดตั้งรัฐบาลเมื่อค่ำวันที่ 14 สิงหาคม 2567 ที่มี “ทักษิณ”เป็นเจ้าของบ้านจันทร์ส่องหน้า เรียกพรรคร่วมเข้าหารือจัดตั้งรัฐบาล

ยุทธการนี้เป็นการเอาคืน กลายเป็นเรื่องคนบ้านป่าเจอกระซวก โดนนำคลิปเสียงออกมาแฉสี่คลิป ชิงความได้เปรียบก่อนส่งคนพรรคเพื่อไทยไปร้ององค์กรอิสระ ทั้งที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการเอาผิดกับ พล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตามกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 172 และ 173 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

เนื่องจากคดีมีลักษณะทวงถามและเรียกรับเงิน ประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง โดยขอให้ ป.ป.ช.พิจารณาไต่สวนส่งเรื่องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งนักการเมือง เพื่อดำเนินคดี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดทั้งทางกฎหมายและจริยธรรมนักการเมือง ตามมาตรา 173 เจ้าพนักงานรัฐผู้ใดเรียกรับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 100,000 – 400,000 บาท

งานนี้ก็ต้องมาดูว่า คนอย่าง “บิ๊กป้อม” ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว เจอศึกสงครามมาเยอะ จะพลิกเกมนี้อย่างไร จะปลุกนิติสงครามออกฟาดฟันกันขนาดไหน ถือเป็นเกมที่ต้องจับตาดูกระดานร้อนเกมการเมืองร้าย จะเกิดแรงกระเพื่อมสั่นสะเทือนไปถึงขนาดไหน.