ในที่สุด “รัฐบาลแพทองธาร 1” ก็ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.)และเข้าถวายสัตย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 11-12 กันยายนนี้
จากนั้นก็จะเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ โดยมีเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวนวงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท ที่ผ่านสภามารองรับ ให้“นายกฯ อิงค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มากดปุ่มบริหารประเทศ ท่ามกลางการจองกฐิน รับน้องใหม่แบบจุกๆ
แค่เริ่มต้นก็เจอฉายามาประเคนให้ ทั้งจากฝ่ายแค้น ฝ่ายค้าน เรียงหน้าตีตรา “รัฐบาลแพทองธาร 1” เป็น “รัฐบาลสืบสันดาน” “รัฐบาลสายโลหิต” “ครม.โควตาครอบครัว” “ครม.พ่อครอบครองลูก”
เล่นเอา “นายกฯน้องใหม่” ถึงกับอุทานออกสื่อว่า “ใช้คำแรงจัง ขอวิงวอนไปถึงนักร้องขอให้เพลาๆหน่อย เรื่องการร้องขอให้เห็นใจกันบ้างอย่าร้องเยอะเลย”
เป็นธรรมดากับการโดดเข้ามาสู่โลกมายาแห่งวงการเมือง เพราะแค่การจัดเก้าอี้รัฐมนตรีใน “รัฐบาลแพทองธาร1” ก็ได้เห็นฉากดราม่าแห่งการ “สืบสายโลหิต”ให้เห็นกันรัวๆ
ที่เห็นได้ชัดกรณี “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ต้องถอนตัวส่ง “ซาบีดา ไทยเศรษฐ์” ลูกสาว อายุ 39 ปี เสียบเก้าอี้ รมช.มหาดไทยแทน เพราะพรรคเพื่อไทยกลัวว่า “น.ส.แพทองธาร” จะเจอบ่วงจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วางไว้จึงส่งสัญญาณขอให้เปลี่ยนตัวรัฐมนตรีในส่วนของพรรคภูมิใจไทยในโค้งสุดท้าย
ส่วน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ต้องสละเก้าอี้ให้กับ “นายอัครา พรหมเผ่า” น้องชาย เข้ามานั่งเก้าอี้รมช.เกษตรและสหกรณ์ ขณะที่“นายอิทธิ ศิริลัทธยากร” พ่อของ“นายอรรถกร ศิริลัทธยากร” เข้ามาเป็นรมช.เกษตรฯ ในฐานะคนนอก และนอกจากนี้จู่ๆ ก็มีโควตาของพรรคกล้าธรรม โดยมีชื่อ นางนฤมล ภิโญสินวัฒน์ หัวหน้าพรรคกล้าธรรม คนสนิทของ ร.อ.ธรรมนัส เข้ามาเป็นรมว.เกษตรฯ
ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะรัฐมนตรีสายล่อฟ้าใน “ครม.อิ๊งค์ 1” มีผู้เสี่ยงติดปมจริยธรรมถึง 11 คน ทั้งคดีในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) สำนักงานอัยการ ศาล ฯลฯ
จากการจัดตั้งครม.ก็เจอฉากดราม่าที่ถูกมองว่า ไปล้วงลูกพรรคภูมิใจไทย ในโควตารัฐมนตรีสัดส่วนภูมิใจไทย ที่พรรคเพื่อไทยกลัวว่า “นายกฯอิ๊งค์” จะเจอบ่วงจริยธรรมกระชากให้ตกจากเก้าอี้แล้วต้องเผชิญวิบากกรรมตามมา
จน “ชาดา” ต้องขอถอนตัวทิ้งเก้าอี้รัฐมนตรี ทั้งที่ตอนโหวตให้ “แพทองธาร” ขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 31 ก็โหวตให้ทั้งพรรคแบบไม่มีเงื่อนไข ซึ่งเรื่องนี้อาจจะกลับมาเป็นรอยร้าวในพรรครวมรัฐบาลในอนาคตได้
นอกจากนี้ ต้องจับตาดู ลีลาของ “บิ๊กอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย แกนนำพรรคเพื่อไทยต้อง เข้ามากุมบังเหียนทำหน้าที่เป็น รมว.กลาโหม ซึ่ง“บิ๊กอ้วน” เคยเข้าป่าได้ฉายา“สหายใหญ่” เคยรบกับทหารในยุคคอมมิวนิสต์มาโดยตรง จากแนวคิดคนเดือนตุลา ที่จะทำให้ทหารอยู่กับประชาชน เรื่องนี้น่าจะมีแรงเสียดทานอยู่ไม่น้อย
สังเกตได้ ว่า “บิ๊กเล็ก” ณัฐพล นาคพาณิชย์ ยังถูกส่งเข้ามาเป็นรมช.กลาโหม ในโควตาของพรรครวมไทยสร้างชาติ ดังนั้นจะต้องจับตาดูกันว่า จะมีอะไรในกองทัพหรือไม่ เพราะ“ตระกูลชินวัตร” เองก็เคยถูกทหารปฏิวัติมาแล้วหลายครั้ง จึงต้องดูว่าบทบาท “ทักษิณ” ที่ต้องส่งมือขวาอย่าง “ภูมิธรรม” เข้าไปวางแผนสกัดกั้นรัฐประหารได้อย่างไร
ต้องยอมรับว่าใน “รัฐบาลแพทองธาร 1” ถึงแม้จะสแกนกันถี่ยิบแต่ก็ยังคงมีรัฐมนตรีสายล่อฟ้าอยู่ไม่น้อยที่เข้าข่ายมีปัญหาถึง 11 คน และคนที่ 12 คือ ตัว “นายกฯอิ๊งค์” เองก็มีวิบากกรรมเก่าตามหลอน โดยเฉพาะเรื่องที่ดินธรณีสงฆ์ ของยายเนื่อม ที่ถูกขายมาทำสนามกอล์ฟอัลไพน์และบ้านจัดสรร โดยที่ “นายกฯแพทองธาร” เข้าไปถือหุ้นอยู่
แต่ผลที่ออกมามีคำถามตามมามากมาย หลังการตั้งกำแพงสูงสแกนจริยธรรมเพื่อใคร เพราะประเทศไม่มีเวลาให้พวกลูกท่าน หลานเธอเข้ามาเล่นขายของ ขอถามกลับว่า มีใครจะเซฟประเทศและประชาชนได้บ้าง
เพราะดูสถานการณ์ต่อไป “รัฐบาลแพทองธาร 1” ที่นำโดย “นายกฯอิ๊งค์” ต้องเข้าทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้า แต่จะมีกองบัญชาการลับของ “คุณพ่อทักษิณ” อยู่ที่ตึกชินวัตร เข้าตำรา “ครอบงำ ครอบครอง ครอบครัว” บริหารประเทศ ผ่านสัญญาณ 5G
สถานีต่อไปของ “นายกฯอิ๊งค์” นอกจากจะแบกรับมรสุมการเมือง จากการจัดรัฐมนตรีที่จับวางไม่ถูกกับงานแล้ว ยังแบกรับความคาดหวังของประชาชนที่ต้องสร้างผลงานพิสูจน์คุณภาพ “รัฐบาลแพทองธาร 1” โดยเริ่มต้นของการกดปุ่มแจกเงินหมื่นดิจิตอลวอลเล็ต เพื่อฟื้นศรัทธาประชาชน
แค่นั้นคงยังไม่พอต้องรีบปั่นผลงานให้เป็นที่ประจักษ์และจับต้องได้ให้เห็นผลโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชน มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีไปพร้อมๆกัน
จึงต้องจับตาดูว่า เงินหมื่นดิจิตอลหลังแจกกลุ่มเปราะบางในเดือนกันยายนนี้แล้ว ก้าวต่อไปของ “รัฐบาลแพทองธาร 1” จะทำอย่างไรให้คุ้มกับการที่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับดอกเบี้ยเงินกู้
นอกจากนี้ “นายกฯอิ๊งค์”ยังต้องเตรียมรับมือกับคดีถูกร้องรัวๆ จากปฏิบัติการเปิดศึกทำสงคราม “นิติสงคราม”กับด่าน “จริยธรรม” ที่คอยจับผิดจ้องเขี่ยให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซ้ำรอยกับ นายเศรษฐา ทวีสิน
ที่แน่ๆ ตอนนี้มีนักร้องไปยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบแล้ว ที่เห็นๆก็มีเด็กบ้านป่า โดย นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.สอบ “นายกฯอิ๊งค์” ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นประธานเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ว่า มีการใช้จ่ายเงินจำนวนมาก และ “มีบุรุษนิรนาม” ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ยุบพรรคเพื่อไทย ข้อกล่าวหา คือ พรรคเพื่อไทย ที่ปล่อยให้ “นายทักษิณ” เข้าครอบงำพรรค ผ่าน “อดีตนายกฯเศรษฐา” ในการตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี โดยอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักฐาน
นอกจากนี้ มีคดี ที่ปรากฏข่าวว่า กำลังจะดำเนินการ แต่ยังไม่ปรากฏตัวเจ้าภาพ คือ การร้องให้ยุบพรรคร่วมรัฐบาลที่ไปประชุมที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ในเย็นวันที่ 14 สิงหาคม หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 สั่ง “เศรษฐา” พ้นจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งรัฐบาล ในข้อหาว่า ยินยอมให้บุคคลภายนอกครอบงำพรรค
แถมยังมีประเด็นที่จองกฐินตัว“นายกฯอิ๊งค์” ตรงๆ ในข้อหาว่าขาดจริยธรรมอย่างร้ายแรงในกรณีการสอบเมื่อครั้งเป็นนิสิตจุฬาฯ โดยหาว่า มีการทุจริตในการสอบ พร้อมปลุกผียายเนื่อมมากล่าวหาว่า “นายกฯอิ๊งค์” โกงที่ธรณีสงฆ์ของวัด เป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง
การเมืองไทยวันนี้ “นายกฯอิ๊งค์” ไม่ได้เดินอยู่บนพรมแดงที่พ่อแม่ปูมาให้ แต่เป็นการฝ่าดงกับดัก กับระเบิดที่วางฝังตามรายทาง หากพลาดก็ถึงตายยกครัว เพราะเกมการเมืองครั้งนี้ เป็นเดิมพันของ “ตระกูลชินวัตร” พรรคเพื่อไทย ที่ฝ่ายตรงข้ามหวังผลการทำลายร้าง แบบขุดรากถอนโคน คิดแล้วก็ขนหัวลุกแทน “นายกฯอิ๊งค์”
วิบากกรรม “รัฐบาลแพทองธาร 1” ยังไม่หมดเท่านี้ เพราะระหว่างที่เดินฝ่าดงกับดัก กับระเบิดแล้ว ยังต้องเดินหลบห่ากระสุนการชำระแค้น กับความอหังกาของ “คุณพ่อทักษิณ” ที่หลายคนตั้งป้อมฟาด
โดยเฉพาะ“พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช” หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ที่พลาดหวังจากตำแหน่งรัฐมนตรี ออกมาแฉการได้ขึ้นไปเยี่ยม “ทักษิณ” บนชั้น 14 ที่ตอนนี้คนร้อนๆ หนาวๆ ก็หนีไม่พ้นข้าราชการกรมราชทัณฑ์ และแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ที่อาจเจอบ่วงวิบากกรรมไปด้วย เพราะยี่ห้อ “เสรีพิศุทธ์” ใครๆก็รู้ว่าไม่ธรรมดาที่ผ่านมาก็เล่นงานนักการเมือง มาแล้วหลายต่อหลายๆคน
ต้องมาจับตาดูกันว่า การทำหน้าที่ของ “รัฐบาลแพทองธาร 1” จะเดินไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ หรือจะสะดุดบ่วงวิบากกรรมจนถูกกระชากตกจากบัลลังก์ปิดฉาก “ตระกูลชินวัตร” หรือไม่