เป็นที่รู้กันอยู่แล้วเช่นกัน ไม่ว่า…จะอย่างไร? รัฐบาลของนายกฯแพทองธาร ชินวัตร ก็ต้องแจกเงิน 10,000 บาท หรือคิดเป็นเงินงบประมาณราว 1.45 แสนล้านบาท ให้หมดภายในวันที่ 30 ก.ย.นี้ เพราะเป็นวันสิ้นปีงบประมาณ 67

หากทำไม่ได้ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ขัดต่อกฎหมายงบประมาณรายจ่ายกลางปีเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 67 ไปซะ เพราะสู้อุตส่าห์กลับลำ!! ปรับโครงการจากแจกเงินดิจิทัล มาเป็นการแจกเงินสดแทน เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายงบประมาณ

ดังนั้น…การที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯและผู้พิการ จะตีอกชกตัวรอรับเงินสด ก็ไม่ได้ผิดแปลกแต่อย่างใด!!

แต่!! ที่ต้องอดใจรอ ก็อยู่ที่ว่า วิธีการจะเป็นอย่างไร? การใช้เงินจะจำกัดแค่ไหน? จ่ายเงินสดทีเดียวทั้งก้อน 10,000 บาท แล้วถอนเงินสดออกมาใช้จ่ายได้หรือไม่? ใช้ได้ถึงเมื่อใด? และอีกมากมายสารพัด ที่ต้องรอความชัดจากรัฐบาลอีกครั้ง!!

เอาเป็นว่า… การแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ตามความต้องการของรัฐบาลในครั้งนี้ ก็ประเมินกันว่าหากแจกเป็นเงินสดทั้งก้อน 10,000 บาท จำนวนประมาณ 14.5 ล้านคน ก็จะช่วยดึงให้จีดีพีกระเตื้องขึ้นมาได้ราว ๆ 0.1-0.2%

ขณะเดียวกันก็จะช่วยทำให้จีดีพี ในไตรมาสสุดท้ายหรือไตรมาส 4 ปีนี้ ขยายตัวได้ประมาณ 3.5% และเมื่อรวมกันตลอดทั้งปี 67 แล้วเศรษฐกิจจะเติบโตได้ราว ๆ 2.6-2.7% ไม่ถึง 3% อย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง

แต่!!ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากนักท่องเที่ยวไหลทะลักเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเหมือนกับช่วงก่อนเกิดโควิด รวมทั้งมีการใช้จ่าย สร้างรายได้เข้าประเทศไปแตะ 2 ล้านล้านบาท 3 ล้านล้านบาท

ขณะเดียวกันบรรดาภาคเอกชน ต่างสามารถพากันส่งสินค้าออกได้เกิดกว่าที่คาดหมายแบบโต 5% หรือ 10% อะไรเทือกนี้ ไม่ใช่โตเพียงแค่ 1-2% เท่ากัน การที่จีดีพีไทยจะเติบโตทะลุเกิน 3% ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

A stack of five rows of coins

หันมามองความจริง การจะทำให้ท่องเที่ยวทะลัก ส่งออกกระจาย เช่นนั้น คงเป็นแค่ความฝัน เพราะอย่าลืมว่า ณ เวลานี้เศรษฐกิจโลกยังไม่มีความเสถียร ปัญหาสงครามยังไม่นิ่ง แถมยังมีเรื่องของการกีดกันทางการค้าอีกสารพัด

ดังนั้นจีดีพีไทยปี 67 นี้ จะเติบโตได้เพียง 2.6-2.7% ก็ดีเกินคาดแล้ว เพราะจะเติบโตแค่ 1% 2% หรือ 3% ก็ถือว่าเติบโตขึ้นมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่การเมืองไทยยังลมเพลมพัด ยังไม่สามารถเดินเครื่องยนต์เศรษฐกิจได้เต็มกำลังเช่นนี้

ที่สำคัญ “เงินดิจิทัล” ก็ไม่ใช่ยาวิเศษ ที่จะใส่เงินลงมาปุ๊ปเศรษฐกิจฟื้นปั๊ป คนไทยทั้งประเทศมีความสุขกันถ้วนหน้า มีเงินมีทองใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่ยากจน ไม่ขัดสน

แต่ในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอันน้อยนิดเช่นนี้ บรรดาภาคผลิตก็กำลังจะจมเหว โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ที่ทะยอยปิดตัวลงให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งหมายรวมไปถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับยานยนต์ด้วยซ้ำไป

ตรงนี้!! น่าเป็นห่วงสุด ๆ เพราะยอดผลิตที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือส.อ.ท. ออกมาหั่นเป้าแล้วหั่นเป้าอีก โดยล่าสุดหั่นยอมหั่นยอดผลิตในประเทศลดลงอีก 2 แสนคัน โดยเหลือเพียง 5.5 แสนคันเท่านั้น ในปีนี้ ขณะที่ยอดผลิตรวมทั้งปี อยู่ที่ 1.7 ล้านคัน

เหตุใหญ่…ก็มาจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ เพราะคนไม่มีกำลังซื้อ แบงก์ก็เข้มงวดในการปล่อยกู้ เพราะกลัวหนี้เน่าบานทะโรคเพิ่มเติมขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเมื่อ “การเมือง” สมประโยชน์ ทุกอย่างลงตัว ก็เชื่อว่าการเดินหน้าเศรษฐกิจก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง!!

businessman saving money

เพราะดูแล้วบรรดารมต.ที่เข้ามาคุมเศรษฐกิจ แม้เปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ในกระทรวงหลัก ๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่กระทรวงการคลัง ขุนพลนำทัพยังคงเป็น “พิชัย ชุณหวชิร” โดยมีมือขวาและมือซ้าย อย่าง “จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์” และ “เผ่าภูมิ โรจนสกุล”

ส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ แม้อาจมีการเปลี่ยนหัวเรือใหญ่ เป็น “พิชัย นริพทะพันธุ์” แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งมือด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ด้านก.ท่องเที่ยวฯ แม้อาจเปลี่ยนเป็น “สรวงศ์ เทียนทอง” แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อไทย มานั่งกุมบังเหียนเอง

ทั้งหลายทั้งปวง!! เชื่อว่า เมื่อนายกฯแพทองธาร ได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ในเดือนก.ย.นี้แล้ว แต่ละกระทรวง คงเดินหน้าขับเคลื่อนกันเต็มที่

อย่าลืมว่า…ก่อนหน้านี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่ใครๆก็ให้สมญา นายกฯตัวจริง แสดงวิสัยทัศน์ไว้หมดแล้วว่าจากนี้ไปจะทำอะไรบ้าง? ก็ได้แต่รอดูกันต่อไปว่า…นอกจากการแจกเงิน!! แล้วต่อไปจะต่อด้วยอะไร?

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่