“ตอนที่กลับมาไม่มีเป้าหมายชีวิตอะไรเลย ตอนนั้นชีวิตแย่มาก เพราะผิดหวังหลายเรื่อง จนถึงขั้นป่วยซึมเศร้า แถมเคยคิดจะกระโดดตึก 30 ชั้น แต่เสียงเรียกของลูกช่วยดึงสติให้กลับมา” แม้น้ำเสียงที่เล่าจะดูเศร้า แต่ก็สัมผัสได้ถึงความหวังในใจของ “ยูทูบเบอร์สาวสายเกษตร” คนนี้ ที่ชื่อ “มุตา-ศิริรัตน์ ไชยบัวรินทร์” อดีตผู้จัดการสาวโรงแรมระดับ 5 ดาว ที่ประเทศจีน ซึ่งชีวิตพลิกผันจนตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่ประเทศไทย กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับอาชีพเกษตรกร พร้อมกับการเป็นยูทูบเบอร์ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของเกษตรกร โดยวันนี้มีผู้ติดตามช่องยูทูบและเฟซบุ๊กเพจ “ผจก.แว๋ คนสวย” ของเธอกว่า 1.2 ล้านคน ซึ่ง “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปพูดคุยทำความรู้จักกับเธอคนนี้…

“อาชีพเกษตรกร อาชีพทำนา ไม่เคยอยู่ในหัวเลยตั้งแต่เด็ก เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่ลำบาก” เป็นการระบุจากทาง “มุตา-ศิริรัตน์” เจ้าของเรื่องราววันนี้ โดยเธอเล่าย้อนอดีตให้ฟังว่า เธอเป็นคน จ.อุบลราชธานี มีพี่ชาย 1 คน และน้องสาว 1 คน มุตาเป็นลูกคนกลางของ คุณพ่อจันศรี-คุณแม่ลุน ไชยบัวรินทร์ โดยครอบครัวของเธอมีฐานะยากจนมาก ซึ่งช่วงที่เธอยังเด็กบ้านเธอนั้นเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกอยู่ในป่า โดยคุณพ่อมีอาชีพทำนากับเผาถ่านขาย ส่วนคุณแม่มีอาชีพหาบของขาย แต่ด้วยความที่คุณพ่อคุณแม่เป็นคนขยันทำมาหากิน ทำให้เก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ก่อนจะย้ายครอบครัวมาอยู่ในหมู่บ้าน

มุตาเล่าย้อนสมัยเธอยังเด็ก ๆ อีกว่า จำได้ว่าแม้แต่ชุดนักเรียนก็ยังไม่มีใส่ไปโรงเรียนเลย จึงต้องใส่ตามมีตามเกิด หรือต้องรอคนมาบริจาคเธอและพี่น้องถึงจะมีชุดใส่ไปโรงเรียน ขณะที่การทำนานั้นเธอบอกว่าคุณพ่อให้ฝึกทำนาตั้งแต่จำความได้ เรียกว่าตั้งแต่เด็ก ๆ เธอทำเป็นหมด ตั้งแต่หว่านข้าว ไถนา ดำนา หรือขับรถไถ หรือรถกระบะ เธอก็ขับได้ตั้งแต่ยังเด็ก ๆ

“แต่ยอมรับเลยว่าส่วนตัวแล้วไม่ชอบทำนาเลย เรียกว่าเกลียดก็ว่าได้ ทำให้อาชีพเกษตรกรไม่อยู่ในหัวเลย เพราะมองว่ามันลำบาก ต้องตากแดด แล้วเรากลัวตัวดำ เราจึงมีความฝันตลอดว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องโบยบินไปอยู่ในเมืองกรุงให้ได้” เธอเล่าให้ฟัง และจากแรงฝันนี้เองทำให้เธอพยายามผลักดันตัวเองตลอดเวลา โดยตั้งแต่เริ่มขึ้นชั้น ป.4 เธอก็ไม่ค่อยได้ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำนาแล้ว เพราะตั้งเป้าหมายกับตัวเองไว้ว่าจะไม่กลับไปลำบากอีก ทำให้ในช่วงนั้นหากโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรเธอจะเข้าร่วมทุกกิจกรรม เพื่อให้ได้ทุนการเรียน และพยายามผลักดันตัวเองจากคนที่สอบได้ที่โหล่ของห้อง จนกลายเป็นคนที่สอบได้ที่ 1 และหลังเรียนจบ ม.3 เธอก็ได้ทุนไปเรียน ม.4 ที่โรงเรียนในตัวเมือง ซึ่งเธอเล่าว่า ตอนนั้นแม้จะได้ทุนเรียน แต่เธอก็ต้องไปทำงานรับจ้างที่ร้านอาหารตามสั่ง โดยได้เงินวันละ 40 บาท เพื่อเก็บไว้ใช้จ่ายสำหรับการเรียนในเมือง โดยมุตาบอกว่าเธอทำงานส่งเสียตัวเองเรียนจนจบชั้น ม.6 จากนั้นเธอก็มุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตามฝัน ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้

สำหรับเป้าหมายการเข้ากรุงเทพฯ เธอบอกว่าคือการทำงานหาเงินส่งให้ทางบ้าน ซึ่งการเข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกนั้น เธอเล่าว่า เป็นแบบไร้จุดหมาย เพราะที่พักก็ไม่มี งานก็ยังไม่รู้ว่าจะหาได้หรือไม่ คิดแค่ว่าจะเรียนเสริมสวย เพราะชอบความสวยความงาม แต่ด้วยความที่ไม่มีเงินเรียน จึงไปขอทำงานที่สถาบันเสริมความงาม ทำให้มีโอกาสเป็นลูกมือช่างเสริมสวย จนได้ทำงานในร้านเสริมสวยเต็มตัว ทำให้มีรายได้ จนเธอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่งก็นำไปลงเรียนวิชาทำผมและแต่งหน้าเพิ่มเติม

สมัยทำงานที่เมืองจีน

“การทำงานที่ร้านเสริมสวยทำให้มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะภาษาอังกฤษ เนื่องจากย่านสีลมที่ทำงานอยู่มีชาวต่างชาติเยอะ ทำให้มีโอกาสได้รับลูกค้าต่างชาติ ทำให้ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษไปด้วยในตัว และเราก็ไปเรียนเพิ่มเติมอีกจนเราสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้” เธอบอกเล่าที่มาทักษะภาษาอังกฤษของเธอ

ในช่วงนั้น นอกจากจะทำงานร้านเสริมสวยแล้ว มุตาบอกว่าเธอยังมองหารายได้จากการขายของไปด้วย ทำให้เริ่มมีเงินเก็บและตั้งตัวได้ จนสามารถปลดหนี้จำนวนมหาศาลให้กับทางบ้านได้ด้วยวัยเพียง 20 ปี จากนั้นเธอก็ไปสมัครเรียนปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง ด้านสื่อสารมวลชน และก็สามารถเรียนจนจบปริญญาตรี

วันนี้เป็นเกษตรกรไทย

“วันที่เรียนจบปริญญา เราโทรฯ หาพ่อแม่บอกว่าจะให้รถตู้รับเข้ากรุงเทพฯ ซึ่งท่านก็ไม่อยาก แต่พอบอกว่าเราเรียนจบปริญญาเท่านั้น พ่อแม่ร้องไห้เลย เพราะดีใจมากที่ลูกเรียนจบสูง ทำให้เราภูมิใจมาก ๆ เพราะผู้หญิงที่สู้ชีวิตในเมืองหลวงตัวคนเดียว สามารถหาเงินใช้หนี้ แถมมีปริญญาให้พ่อแม่ดีใจ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” มุตากล่าว

จุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญของเธอเริ่มขึ้นหลังเรียนจบ โดยเธอตัดสินใจจะไปใช้ชีวิตที่ประเทศจีนกับแฟนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน โดยเธอบอกว่าได้ตั้งความหวังกับรักครั้งนี้มาก ทำให้ยอมทิ้งชีวิตที่ไทย โดยเธอได้ขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อจะไปอยู่กับแฟนที่จีน ซึ่งเมืองที่เธอไปอยู่คือซูโจว แต่ด้วยความที่พูดภาษาจีนไม่ได้เลย เธอจึงตัดสินใจเรียนภาษาจีนที่มหาวิทยาลัยซูโจว โดยด้วยความตั้งใจ แค่ 3 เดือนที่เรียนเธอก็เริ่มพูดสื่อสารภาษาจีนได้ และตอนนั้นเธอก็ได้ไปสมัครงานเป็นพนักงานโรงแรมระดับ 5 ดาวแห่งหนึ่ง ซึ่งทางโรงแรมก็รับเธอเข้าทำงานในตำแหน่งผู้ดูแลห้องอาหารของโรงแรม ทำให้เธอได้ประสบการณ์และได้เรียนรู้ภาษาจีนมากขึ้น โดยเธอทำมาเรื่อย ๆ จนได้เงินเดือนอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาท อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ดูเหมือนจะดีวันหนึ่งก็เริ่มสะดุด โดยเธอเล่าว่าหลังทำงานที่จีนได้ราว 1 ปี เธอก็เแต่งงานกับแฟน โดยหลังจากที่เธอตั้งท้องลูกคนแรก ลูกชาย แฟนก็ให้ลาออกมาเป็นแม่บ้าน ซึ่งชีวิตก็ดูจะแฮปปี้ แต่ก็มาเริ่มมีปัญหาตอนที่เธอตั้งท้องลูกคนที่ 2 ลูกสาว (น้องเทียนซิน ไชยบัวรินทร์) โดยหลังท้องได้ 3 เดือน แฟนเธอต้องไปทำงานต่างเมือง ซึ่งพอห่างกันความสัมพันธ์ก็เริ่มแย่นับแต่นั้น โดยแฟนมักไม่ค่อยกลับบ้าน เธอต้องเลี้ยงลูก 2 คนเพียงลำพัง และช่วงที่ลูกไม่สบาย แฟนก็ไม่กลับมาดูแล ทำให้ตอนนั้นรู้สึกแย่กับชีวิตมาก ๆ

“ช่วงนั้นแย่จนมีอาการซึมเศร้า จนถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดตึก 30 ชั้น แต่ก็ได้สติกลับมาเพราะเสียงลูกชายที่เรียกหาเรา ทำให้เรามาตั้งสติและทบทวนตัวเองใหม่ จนเราเลือกที่จะกลับมารักตัวเอง และสุดท้ายเราก็ขอหย่ากับสามี ซึ่งตอนแรกเขาไม่ยอมหย่า เราก็ฟ้องร้องเป็นปี ซึ่งสิ่งที่เราต้องเสียไปจากการหย่ากับสามีก็คือลูกชายที่เขาเลือกจะอยู่กับพ่อ ส่วนลูกสาวเขาอยากอยู่กับเรา” มุตาเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และนี่ก็เป็นอีกจุดเปลี่ยนชีวิตครั้งสำคัญ ทำให้เธอกลับเมืองไทย ซึ่งหลังตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ก็ได้หันมาโฟกัสที่ตัวเองและลูกสาว โดยตั้งใจจะเก็บเงินสักก้อนแล้วกลับไทยมาอยู่กับครอบครัว “ตอนนั้นเราได้งานเป็นผู้จัดการโรงแรมแห่งหนึ่งแล้ว และยังได้งานถ่ายแบบเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าที่จีนด้วย ก็เลยตัดสินใจพาลูกสาวกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่เมืองไทยก่อน โดยเราบอกกับท่านว่าขอเวลา 6 เดือนเพื่อกลับไปทำงานเก็บเงินสักก้อน แล้วจะกลับมาอยู่กับลูกที่ไทยเป็นการถาวร”

กับลูกสาว

มุตาเล่าถึงการตัดสินใจครั้งสำคัญ ที่ทำให้เธอต้องอยู่ห่างจากลูกสาวนานเกือบครึ่งปี โดยเธอบอกว่า หลังกลับไปทำงานที่จีนได้แค่ 4-5 เดือน ก็เจอวิกฤติโควิด-19 ทั้งที่ชีวิตการทำงานกำลังไปได้สวย จนที่สุดต้องตัดสินใจกลับไทยก่อนกำหนด โดยเมื่อกลับมาอยู่บ้าน เธอยอมรับว่าไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่มีเป้าหมายชีวิตเลยว่ากลับมาแล้วจะทำอะไร และเงินเก็บที่มีก็ยังไม่มาก จึงต้องมองหาอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ ก็มาคิดว่าจะใช้ความรู้ความสามารถด้านภาษาจีนกับภาษาอังกฤษ โดยรับสอนภาษาจีนให้เด็ก ๆ ตามบ้าน ปรากฏว่าสามารถสร้างรายได้จนเธอเลี้ยงตัวเองและลูกได้

อย่างไรก็ดี หลังสอนภาษาอยู่สักพักหนึ่ง มุตาก็มองเห็นว่า เด็ก ๆ ในหมู่บ้านของเธอนั้นมีชีวิตเหมือนกับตัวเธอเมื่อในอดีต เธอจึงเกิดแรงบันดาลใจว่า อยากช่วยสร้างโอกาสให้กับเด็ก ๆ เหล่านี้ โดยเธอมองว่าสิ่งที่มีค่ามหาศาลที่สุดคือความรู้ เพราะเด็ก ๆ ที่ได้รับเขาจะเอาไปต่อยอดพัฒนาชีวิตตัวเองได้ เธอจึงใช้ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ เปิดสอนภาษาฟรีให้กับเด็ก ๆ ในหมู่บ้าน โดยเริ่มจากมีเด็กแค่ 4-5 คนมาเรียน ซึ่งห้องเรียนก็เป็นลานใต้ต้นมะขาม จนต่อมาเริ่มมีเด็กและผู้ปกครองมาเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 30-40 คน คุณพ่อก็เลยนำไม้เก่า ๆ มาทำพื้นที่ให้เป็นห้องเรียนตรงระเบียงริมน้ำ และพอเด็กเริ่มมีเยอะมากขึ้น ก็มีผู้ปกครองมาช่วยกันทำอาหารกลางวันเลี้ยงเด็ก ซึ่งจากอาชีพสอนภาษา ภายหลังเธอก็ได้กลายเป็น “เกษตรกรเต็มตัว”

“เราตัดสินใจที่จะทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำเกษตรแบบผสมผสาน เพราะไป ๆ มา ๆ เราก็รู้ตัวว่าชอบการปลูกต้นไม้ แม้ตอนเด็ก ๆ เราจะเกลียดการทำนามาก (หัวเราะ) พอตัดสินใจแล้วก็เลยเริ่มปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก และมีรายได้เสริมจากพืชผักหมุนเวียนที่ปลูกขึ้นมา จากนั้นก็ขยับไปปลูกไม้ผล และเลี้ยงปลา ซึ่งตอนแรกที่เราเริ่มลงมือทำ ก็มีบางคนพูดดูถูกเราว่า จะทำได้กี่น้ำ คนไม่เคยจับจอบจับเสียม ซึ่งเราก็ไม่โกรธ แต่นำมาเป็นแรงผลักดัน ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นปี จนเห็นผลลัพท์ที่ลงแรงไป” เธอบอกเรื่องนี้

เปิดซุ้มเหล่าซือสอนภาษาให้เด็กฟรี

พร้อมกับเล่าว่า ทุกวันนี้มีความสุขมากกับการเป็นเกษตรกร และโชคดีที่ตัดสินใจเลือกทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เพราะทำให้มีรายได้ทุกวัน “ตอนตัดกล้วยที่ปลูกไปขายและได้เงินก้อนแรกมา 8,000 บาท ตอนนั้นเราดีใจมาก ๆ จนอยากจะขยายออกไปเรื่อย ๆ จึงขยายพื้นที่เพาะปลูก และมีส่วนที่เลี้ยงปลา เลี้ยงกบ เลี้ยงหอย ปลูกไผ่ ทำโมเดลปลูกป่าเพื่อไว้เป็นพื้นที่เพาะเห็ด เพื่อเป็นต้นแบบให้คนในหมู่บ้านได้เรียนรู้ ซึ่งผลผลิตที่ได้ ถ้าเหลือจากขายก็แบ่งคนในหมู่บ้าน แล้วก็เลยดึงคนในชุมชนมาช่วยกันดูแล ซึ่งรายได้ที่ได้มาก็จะนำมาแบ่งกับชาวบ้าน เพื่อเป็นรายได้เสริม”

นี่เป็นเส้นทางชีวิตของ “มุตา-ศิริรัตน์” ยูทูบเบอร์สาวสายเกษตร ที่สุดแสนจะพลิกผัน ที่เธอบอกเล่าผ่าน “ทีมวิถีชีวิต” ไว้ ซึ่งจากอดีตผู้จัดการงานโรงแรมระดับ 5 ดาวและนางแบบที่จีน หวนกลับไทยหวนสู่เส้นทางเกษตรกร และแบ่งเวลาช่วยสร้างโอกาสให้กับเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ในชุมชนที่อาศัยอยู่ ด้วยการสอนหนังสือสอนภาษา และเผยแพร่ความรู้การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งชีวิตของเธอคนนี้น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับใครอีกหลาย ๆ คนที่อาจจะกำลังท้อแท้ผิดหวังกับชีวิต โดยเธอคนนี้ก็ได้สะท้อนแง่คิดไว้เพิ่มเติมด้วยว่า “ถ้าถามว่าทุกวันนี้ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือยัง? เรามองว่ายังต้องทำต่อไป และต้องเรียนรู้ต่อไปไม่มีสิ้นสุด ซึ่งนิยามความสำเร็จของเรา คือการ…ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า-มีชีวิตอยู่ให้เป็นสุข”.

‘ตัวเชื่อมสร้างแรงบันดาลใจ’

สำหรับ “แรงบันดาลใจ” ที่ทำให้ “มุตา-ศิริรัตน์ ไชยบัวรินทร์” ลุกขึ้นมาทำช่องยูทูบและเฟซบุ๊กเพจ “ผจก.แว๋ คนสวย” นั้น เรื่องนี้เธอก็ได้เผยไว้ว่า นอกจากจะรู้สึกสนุกที่ได้นำเรื่องราวชีวิตเกษตรกรของเธอมาบอกเล่าให้คนอื่นได้รับรู้แล้ว เธอยังตั้งใจว่าจะขอเป็น “ตัวเชื่อม” ให้คนภายนอกได้มีโอกาสสัมผัสและได้เรียนรู้เรื่องราวดี ๆ จาก “เกษตรกรมืออาชีพ” รวมถึง “ปราชญ์ชาวบ้าน” ด้วย ซึ่งการทำสวนทำไร่ การทำเกษตรนั้น คนทำก็จะต้องมีประสบการณ์ และประสบการณ์ที่ดีที่สุด คือการเรียนรู้จากตัวจริง แต่การจะให้คนตระเวนไปตามไร่ตามสวนของเกษตรกรทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ เธอจึงอาสาพาทุกคนไปเยี่ยมชมชีวิตของเกษตรกรตัวจริงเหล่านี้ ผ่านช่องทางโซเชียลที่เธอทำขึ้น โดยเธอหวังว่า นอกจากเทคนิคการทำเกษตรที่ผู้ชมของเธอจะได้รับแล้ว ผู้ชมยังจะได้ “แนวคิดดี ๆ” หรือ “แรงบันดาลใจดี ๆ” ด้วย.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน