แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นคนผิวสีและมีเชื้อสายเอเชีย นำเสนอตัวเองในฐานะประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ ขณะที่ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน เป็นที่รู้จักจากการแสดงความคิดเห็นดูถูกผู้หญิง และสนับสนุนการจำกัดสิทธิในการทำแท้ง
ผลสำรวจของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ที่เผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงที่ตอบแบบสอบถามในสัดส่วน 56% จะโหวตให้แฮร์ริส ส่วนอีก 44% จะสนับสนุนทรัมป์ ซึ่งในทางกลับกัน ผู้ชายที่เข้าร่วมการสำรวจ 54% สนับสนุนทรัมป์ ส่วนอีก 45% กล่าวว่า พวกเขาจะโหวตให้แฮร์ริส
กระนั้น ผลการสำรวจของวิทยาลัยเซียนา และหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส เผยตัวเลขที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า โดยผู้หญิงที่สนับสนุนแฮร์ริสและทรัมป์ มีสัดส่วน 56% กับ 35% ตามลำดับ เมื่อเทียบผู้ชายที่สนับสนุนแฮร์ริสและทรัมป์ ในสัดส่วน 39% และ 52% ตามลำดับ
แม้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพศหญิงในสหรัฐ มีแนวโน้มเอนเอียงไปทางพรรคเดโมแครตมานานหลายปี แต่บรรดานักวิเคราะห์กล่าวว่า การแบ่งแยกทางเพศในการเลือกตั้งครั้งนี้ มีความชัดเจนอย่างมาก
อนึ่ง นักวิเคราะห์มองว่า ลักษณะสำคัญของทรัมป์ คือ ความเป็นชายที่มากเกินไป เช่น การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้ชายคนอื่น, การดูถูกผู้หญิง ตลอดจนการมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่ง, การมีอำนาจเหนือกว่า และความเป็นชายแบบดั้งเดิม ซึ่งผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม รู้สึกว่าลักษณะนิสัยเหล่านี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกตีค่าต่ำเกินไปในโลกปัจจุบัน
จนถึงขณะนี้ การรณรงค์หาเสียงของแฮร์ริส ไม่ได้มุ่งเน้นความจริงที่ว่า เธออาจกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐ ซึ่งสิ่งนี้มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับแคมเปญหาเสียงของนางฮิลลารี คลินตัน เพื่อนร่วมพรรคเดโมแครต เมื่อปี 2559
แต่ไม่ว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. นี้ นักวิเคราะห์หลายคนเตือนว่า ความแตกต่างในรูปแบบการลงคะแนนเสียง เมื่อพิจารณาจากเพศสภาพ ดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มที่ลึกซึ้งกว่านี้
ด้านนางซาบรินา คาริม รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ และผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการภาคส่วนเพศสภาพและความมั่นคง (จีเอสเอส) กล่าวว่า ผลสำรวจความคิดเห็นบางส่วนในสหรัฐ บ่งชี้ว่า คนหนุ่มสาวในปัจจุบัน มีแนวโน้มเคลื่อนไปในทิศทางการเมืองที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เกิดการแบ่งแยกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ภายในกลุ่มอายุเดียวกัน และมีความแตกต่างจากคนรุ่นก่อนหน้า.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP