แน่นอนว่าประเทศต้องไปต่อ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล วันนี้เรามีความพร้อมที่จะผลักดันประเทศต่อ ดิฉันมีความมั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจในพรรคร่วมฯ ทุก ๆ พรรคที่จะนำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจ เรามารวมตัวกันในวันนี้เพื่อให้ประชาชนได้เห็นว่าเรามีความตั้งใจ มีความมุ่งมั่น และมีความพร้อมเพรียงกันในการผลักดันประเทศให้ไปต่อ วันนี้ขอขอบคุณทุกท่านมาก ๆ ที่มาร่วมกัน รวมตัวกัน แล้วก็ตกลงกัน ทำเพื่อประเทศชาติร่วมกันต่อไป” แพทองธาร ชินวัตร แถลงไว้ช่วงหนึ่งเมื่อวันที่ 15 ส.ค.ที่ผ่านมา หลังพรรคร่วมรัฐบาล ได้ตกลงปลงใจเสนอชื่อ อิ๊งค์-แพทองธาร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย

ที่สำคัญ!! อิ๊งค์-แพทองธาร ยังเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของไทย ต่อจาก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ซึ่งเป็นอาแท้ ๆ ขณะ เดียวกัน อิ๊งค์-แพทองธาร ยังกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดในไทย และอาจเป็น 1 ใน 10 ที่ติดอันดับผู้นำประเทศที่มีอายุน้อยที่สุดในโลกอีกด้วย

แม้หลายฝักหลายฝ่าย ต่างไม่เห็นด้วยทั้ง 100% กับโครงการนี้ของเพื่อไทย และต้องการให้ปรับให้เปลี่ยน เพื่อให้ทุกอย่างง่ายขึ้น บางรายบางเจ้าถึงกับเรียกร้องให้ฟื้นชีพโครงการคนละครึ่งกันทีเดียว นี่เป็นเพียงด่านแรก…ที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ต้องชั่งใจอย่างหนัก ขณะเดียวกันบรรดาภาคธุรกิจ ต่างส่งเสียงสารพัด โดยคาดหวังว่าอย่างน้อย!! ถ้าฟังกันบ้าง ก็น่าจะทำให้อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นมาได้บ้าง โดยเฉพาะการทำทุกอย่างให้ต่อเนื่อง

รอเวลาดันขึ้นนายกฯ

ต้องยอมรับว่า… การเข้ามาของ “อิ๊งค์” ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทยในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึง เพียงแต่ว่าจังหวะเวลาที่วางไว้ก่อนหน้านี้ อาจทำให้ใครต่อใครมองว่า เร็วไปหน่อย หลายคนมองว่ากระดูกยังไม่แข็งแรงพอ ด้วยความที่อายุยังน้อย แต่ในเมื่อในเชิงการเมืองแล้วต้องมองผลลัพธ์แบบประโยชน์ในเชิงการเมือง ก็เป็นเรื่องที่ปฏิิเสธไม่ได้เช่นกันที่ต้องดัน “อิ๊งค์” ให้เข้ามารับหน้าที่อันหนักหน่วง 

ส่วนจะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน? ดีเพียงใด คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือ “ดีเอ็นเอ” ของนายใหญ่ ที่สำคัญ!! ผลงานก็ใช่ว่าจะสร้างกันขึ้นมาได้ชั่วข้ามคืน ต้องอาศัยเวลา ต้องอาศัยจังหวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญสารพัดปัญหา โดยเฉพาะปัญหาจากข้างนอก ทั้งเรื่องของการค้าโลก เศรษฐกิจโลก ที่ชะลอตัว ปัญหาสงครามที่ยังไม่มีวี่แววที่จะยุติเด็ดขาดหมดปัญหาไป 100% แถมยังทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป หากเกิดความรุนแรง ประเทศไทยคงไม่สามารถไปทัดทานอะไรได้

เอาให้ชัดแจกเงินดิจิทัล

ณ เวลานี้ ที่ทำได้ก็คือ ความพยายามในทุกทางที่ทำให้เศรษฐกิจในประเทศเข้มแข็งเพียงพอที่จะทัดทานพายุเศรษฐกิจให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเพิ่มกำลังซื้อให้กับคนไทย แม้รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่พยายามปลุกปั้นโครงการเรือธงของพรรคเพื่อไทยอย่างโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เข้ามาเป็นแม่เหล็กเพื่อฟื้นกำลังซื้อคนไทยทั้งประเทศ แต่กลายเป็นว่า…เป็นความไม่แน่นอนไปแล้ว เพราะในระหว่างการแถลงข่าวสนับสนุนให้ “อิ๊งค์-แพทองธาร” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ก็ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนว่าจะเดินหน้าหรือพับแผน เพียงแค่บอกว่า “ต้องรับฟังความคิดเห็นกันต่อไป วันนี้ยังไม่มีการโหวต ขอให้เป็นทางการก่อนถ้าจะลงเรื่องการบริหารงาน” และ “วันนี้เราเอาตรงนี้ก่อนดีไหม”

อย่าลืมว่าล่าสุด ณ วันนี้ประชาชนคนไทยกว่า 30 ล้านคนได้เข้าไปลงทะเบียนเพื่อขอรับสิทธิผ่านแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” กันไปแล้ว หากยกเลิกโครงการก็เป็นความเสี่ยงของพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีป้ายแดงไม่น้อยเช่นกัน อย่าลืมว่าการเข้ามาของพรรคเพื่อไทย ได้รับแรงสนับสนุนกว่า 10 ล้านเสียง นั่นหมายความว่าการเข้าหาโครงการแจกเงินดิจิทัล มีมากเกือบ 3 เท่าทีเดียว และการเลือกตั้งครั้งต่อไปเสียงเหล่านี้อาจอยู่ในกำมือของพรรคเพื่อไทยก็เป็นไปได้

สานต่อนโยบายเดิม

ด้าน “บุรินทร์ อดุลวัฒนะ” กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจไทยภายใต้การบริหารขั้วอำนาจเดิม ว่า นโยบายหลังจากนี้อาจเปลี่ยนแปลงไม่มาก เพราะพรรคร่วมรัฐบาลอาจยังเหมือนเดิม และนโยบายต่าง ๆ ที่ผ่านมา และในอนาคตก็ยังคงมีอยู่โจทย์สำคัญคือการมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจในประเทศ โดยเฉพาะการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ที่เชื่อว่าเมื่อพรรคหลักแกนนำจัดตั้งรัฐบาลยังเป็นพรรคเพื่อไทย จะยังคงมีนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ และยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนนโยบายต่อไป เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายช่วงปลายปีนี้ ซึ่งการแจกเงินถือเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายที่มีความจำเป็นมากในเวลานี้ เพียงแต่ต้องเลือกแจกให้ถูกต้องถูกคน

ในมุมของภาคเอกชนแม้ไม่ได้แปลกใจอะไรกับนายกรัฐมนตรีป้ายแดง คนที่ 31 เพราะแบเบอร์มาให้เห็นอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากให้ขาดช่วงกับบรรดาครม.ชุดใหม่ แม้ในทางเป็นจริงแล้วอาจไม่มีอะไรแปลกแตกต่างไปจากเดิมมากนักก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไม่ควรเกิน 1 เดือน ที่ทุกอย่างต้องเข้าที่ทำงานได้ต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้สานต่อนโยบายเดิมที่ดีอยู่แล้ว โดยมุมมองของ “เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์” นายกสมาคมโรงแรมไทย หรือทีเอชเอ ระบุไว้ชัดเจนว่า ประเทศไทยยังต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเพื่อปลุกชีพเศรษฐกิจให้กระเตื้องมากขึ้น เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของการท่องเที่ยว ในเวลานี้ได้กลายเป็นเส้นเลือดที่สำคัญ ที่หล่อเลี้ยงให้เศรษฐกิจไทยมีน้ำมีนวล มีความสดใส ไม่น้อยไปกว่าเรื่องของการส่งออก ที่เคยเป็นพระเอก เป็นเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ดังนั้นมาตรการอย่าง “วีซ่าฟรี” ถือเป็นผลดีต่อภาคการท่องเที่ยวไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเดินหน้าต่อไป

ไม่เพียงเท่านี้…ทีเอชเอ ยังต้องการให้นายกฯ ป้ายแดงและครม.ใหม่ ให้ความใส่ใจกับเรื่องของระบบอำนวยความสะดวกในสนามบินเพื่อสร้างความประทับใจของนักท่องเที่ยวต่างชาติเมื่อเดินทางถึงไทย หมั่นเข้าไปตรวจตราดูแลระบบอำนวยความสะดวกของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือ ตม. เช่นเดียวกับที่นายกฯ เศรษฐาเคยทำ รวมไปถึงการเข้ามาส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศให้มากขึ้น เพื่อกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว เกิดการใช้จ่ายในต่างจังหวัดให้มากขึ้น เนื่องจากขณะนี้โรงแรมตั้งแต่ 3 ดาวลงมา ยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ ทั้งที่เป็นอีกหนึ่งของผู้ประกอบการที่มีความสำคัญไม่น้อยและยังช่วยทำให้คนไทยในระดับรากแก้ว มีงานทำเป็นหลักแหล่ง มีอาชีพ มีเงินที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ 

ดังนั้นหากมีมาตรการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดา ก็ช่วยให้โรงแรมในต่างจังหวัดฟื้นกลับมาได้เหมือนก่อนช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะกลุ่มวัยเกษียณที่สามารถเดินทางท่องเที่ยวในวันธรรมดาได้ ประกอบกับกลุ่มทัวร์ท่องเที่ยวยังเดินทางเข้าไทยน้อย โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีน ที่ยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่ และพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนไปเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองมากขึ้น  

โจทย์ใหญ่ดันใช้จ่าย

อย่างไรก็ตามหากว่าการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท จะถูกยกเลิกไปตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้ที่ให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไม่ดี ก็เลยไม่แจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ก็เชื่อว่ารัฐบาลใหม่จะมีมาตรการอื่น ๆ เพิ่มเติม หรือนำมาทดแทน ซึ่งจะเป็นมาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจที่มีความจำเป็น โดยมาตรการที่จะเข้ามากระตุ้นการใช้จ่ายก็ควรเลือกช่วยเหลือให้ตรงจุดหรือใช้นโยบายให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและตรงกับความต้องการ เช่น มาตรการต้องออกมาช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง กลุ่มคนที่มีรายได้น้อย กลุ่มคนที่เดือดร้อน เพราะกลุ่มเหล่านี้มีความสำคัญและจำเป็นในการกระตุ้นการใช้จ่าย ให้เกิดการบริโภคและมีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจด้วย 

บุรินทร์“ ยังย้ำไว้ด้วยว่า ประเทศไทยถึงอย่างไรก็ต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้ นอกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคแล้ว ในเรื่องของการลงทุนก็เป็นสิ่งที่สำคัญรองลงมาจากการกระตุ้นการใช้จ่าย เพราะการลงทุนก็ เป็นส่วนที่ประเทศไทยยังขาดหาย และต้องการแรงสนับสนุน แต่เชื่อว่าเมื่อมีรัฐบาลใหม่ การลงทุนก็มาพร้อมกับการเบิกจ่ายภาครัฐ เพราะเมื่องบประมาณปี 68 ออกมาใช้ได้ ก็ทำให้มีเงินลงทุนตามโครงการใหม่ๆที่เกิดขึ้น ซึ่งมองว่างบประมาณปี 68 จะไม่ล่าช้า เป็นไปตามกำหนด และทำให้การทำงานมีความต่อเนื่อง

รอแก้ปัญหาปากท้อง

เช่นเดียวกับ “สนั่น อังอุบลกุล” ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่มองว่า เป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งหลังจากจบกระบวนการตามกฎหมายแล้วเสร็จ จะเป็นส่วนช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว เพราะเศรษฐกิจในระยะสั้นจำเป็นต้องการการฟื้นตัวอย่างเร่งด่วน ทั้งการรักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ไม่แข็งค่ามากเกินไป จะเอื้อต่อภาคการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้เติบโตต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการรักษาโมเมนตัมภาคการท่องเที่ยว โดยเฉลี่ยนักท่องเที่ยวเข้ามาเดือนละ 3 ล้านคน ส่วนนี้อยากให้มีการผลักดันและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว รวมไปถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและบริการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 36-37 ล้านคน

นอกจากนี้ต้องการให้เดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศ เพื่อให้การส่งออกของไทยให้ขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือไม่ต่ำกว่า 2%  ต่อเนื่องจากที่ช่วงก่อนหน้านี้ไปเชิญชวนให้มีการเจรจาและเชิญหลายบริษัทมาลงทุนที่ประเทศไทย รวมทั้งเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างเด่นชัด และควรเร่งจัดทำงบประมาณปี 68 ให้เสร็จสิ้นตามกระบวนการหรือในกรอบระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้ยืดเยื้อในปีที่ผ่านมา

รวมทั้งการแก้ปัญหาปากท้องประชาชน ทั้งมาตรการเยียวยาและการกระตุ้นเศรษฐกิจถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง รวมถึงมาตรการปกป้องและช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยที่ได้รับความเดือดร้อนจากสินค้านำเข้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนที่มีราคาถูกมากจนอาจทำลายธุรกิจไทยได้

การเมืองต้องมีเสถียรภาพ

ทั้งนี้พรรคร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพ สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศ รวมทั้งรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคเอกชนที่เป็นตัวจริงด้านการค้า และขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน ซึ่งเราเองก็มีหอการค้าในทุกจังหวัดที่พร้อมจะทำงานสนับสนุนร่วมกันกับภาครัฐ ส่วนในระยะกลางและระยะยาว เป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องวางกลยุทธ์สำหรับประเทศ เพื่อทำให้จีดีพีของไทยเติบโตไม่ต่ำกว่า 3-5%

จี้ตั้งรัฐบาลใหม่ใน 1 เดือน

เช่นเดียวกับ “เกรียงไกร เธียรนุกุล” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (...) ที่มีมุมมองไปในทิศทางไม่แตกต่างกัน โดยต้องการให้การจัดตั้งรัฐบาลเสร็จภายใน 1 เดือน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของประเทศ โดยเฉพาะด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่มีการสอบถามมามากและต้องการรับทราบความชัดเจนของประเทศไทย โดยส่วนใหญ่ยังต้องการลงทุนอยู่ เพียงแต่ต้องการความต่อเนื่องของนโยบาย ขณะเดียวกันก็ไม่ได้แปลกใจใด ๆ กับตำแหน่งของนายกฯ คนใหม่ และเชื่อว่าน่าจะสามารถทำงานประสานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่การเมือง ซึ่งจะทำให้การเมืองมีเสถียรภาพเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตามภาคเอกชนคาดหวังว่า จะได้เห็นนโยบายที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนโยบายการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ซึ่งเวลานี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับนโยบายดังกล่าว เพราะถือเป็นนโยบายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เนื่องจากงบประมาณที่ล่าช้า 6-7 เดือน จึงมีความจำเป็นต้องกระตุ้น แต่เวลานี้งบฯสามารถใช้ได้แล้ว ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลจะเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อหรือไม่ โดยในมุมมองของภาคเอกชนหากเป็นไปได้ก็ต้องการให้แบ่งงบประมาณออกเป็นหลายก้อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้หลากหลาย และครอบคลุมในทุกมิติ ทุกด้าน

รัฐบาลควรมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นมาเสริมนอกจากการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท เพราะปัญหาหลักของไทยเวลานี้คือเรื่องปากท้องของประชาชน และความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และหากเป็นไปได้เอกชนต้องการให้รัฐบาลทบทวนนโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท เพื่อให้เกิดความเหมาะสม และไม่เป็นภาระกับภาคเอกชนมากจนไป”

เปิดโอกาสคนรุ่นใหม่

ขณะที่ “วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย บอกว่าได้ความสดใหม่ โดยในยุคนี้การมีนายกรัฐมนตรีที่อายุยังน้อย เป็นที่ยอมรับของทั่วโลกมากขึ้น เพราะในต่างประเทศก็มีนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยและเป็นผู้หญิง ดังนั้นคงไม่ใช่ปัญหาในการเข้ามาบริหารประเทศ สำคัญอยู่ที่ว่าคนรอบข้างที่อยู่ข้างนายกรัฐมนตรีมากกว่า แต่เชื่อว่าทีมที่ปรึกษามีความแข็งแรง จึงไม่มีเหตุใด ๆ ที่ต้องเป็นห่วง

ส่วนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนในตลาดทุนหรือจะมาแบบลงทุนโดยตรง มั่นใจว่าการลงทุนเดินหน้าต่อ เอกชนยังคงมองนายกรัฐมนตรีคนรุ่นใหม่เป็นภาพบวก ซึ่งการที่ได้นายกฯที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ถือเป็นสีสัน เชื่อว่าทำงานได้ เพราะมีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่อยู่ในฐานการเมืองอยู่แล้ว และการศึกษาก็ถือว่าดีมาก มีความรู้ดี หลาย ๆ คนอาจจะพูดถึงอายุ ก็ต้องยอมรับว่า คนรุ่นใหม่เข้ามามีบทบาทเรื่องการเมือง รวมถึงภาคทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยมากขึ้น 

ขณะที่ สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หากจะต้องล้มไป จะไม่กระตุ้นเศรษฐกิจแล้วนั้น ไม่อยากให้กังวลถึงขั้นนั้น เพราะอาจจะมีทั้งสองทาง คือไปต่อ หรือไม่ไปต่อ ในกรณีที่ไปต่อก็คงเหมือนเดิม แต่หากไม่ไปต่อก็น่าจะมีมาตรการอื่น ๆ เช่น มาตรการทางการเงิน การคลังต่าง ๆ มีเครื่องมืออีกหลายตัวที่ทำได้ อาจจะไม่ใช้ชื่อดิจิทัลวอลเล็ตที่จะมาส่งเสริมให้เศรษฐกิจหมุนเวียนขึ้น ก็มีอีกหลายเครื่องมือมีโอกาสทำได้แน่นอน ถือเป็นการผลัดใบรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ อาจจะได้เห็นเรื่องใหม่ ๆ คนรุ่นใหม่ ๆ ออกมาทำงานทำหน้าที่ให้ประเทศชาติบ้าง ส่วนนโยบายที่ต้องการให้สานต่อคือมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ รวมทั้งรับฟังความเห็นจากภาคเอกชน เพื่อปรับใช้ และเดินหน้าร่วมกันได้

ต้องยอมรับว่า สารพัด สารพัน ความต้องการ หรือข้อเสนอแนะของบรรดาภาคเอกชน เชื่อได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นตัวของ “อิ๊งค์”  หรือครม.ชุดใหม่ หรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยเอง ต่างรู้ดีอยู่แล้ว เพราะเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม แต่ที่ต้องเรียกร้องบ่อย ๆ เพราะต้องการให้เกิดขึ้นอย่างจริงจังเท่านั้น

ฉะนั้น!! ทั้งหลายทั้งปวง ก็ต้องมารอดูกันว่า จากนี้ไป นายกฯอิ๊งค์และครม.อิ๊งค์ จะใช้เวลานานเท่าใด ? เพื่อทำให้คนไทยทั้งประเทศมีความสุข อยู่ดีกินดี ดังที่ว่าไว้!!.