ผมเป็นนักข่าวสายอสังหาริมทรัพย์ ช่วงปี 38-39 จึงเห็นความเคลื่อนไหวของบริษัท แสนสิริฯ รังเก่าของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตอนนั้นนายเศรษฐาอายุแค่ 34 ปี

ปกติสภาพการเมืองการปกครองของไทยมีอะไรที่สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเยอะอยู่แล้ว! แต่หลังการรัฐประหารปี 49 การเมืองไทยก็แทบไม่เหมือนเดิม รวมทั้งมีคำว่า “ตุลาการภิวัฒน์” เกิดขึ้นมา

แต่เมื่อนายเศรษฐากล้าเข้ามาสู่การเมือง และได้เป็นนายกฯ ผมจึงดีใจแทนชาวบ้าน เพราะแกมีความพร้อมทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิ ประสบการณ์ทำงาน ฐานะทางการเงิน ลูกภรรยาพร้อมหมด

ประเทศนี้อาจมีสภาพแบบนายเศรษฐาอีกหลายคน แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นยังไม่มี คือ “ความกล้า” และ “ความเสียสละ” ในชีวิตส่วนตัว และ “สุขนิยม” เพื่อมาเล่นการเมือง ทำงานรับใช้ประชาชน

นายเศรษฐาเข้ามาเป็นนายกฯ ท่ามกลางความขัดแย้งกันหนักของสังคมไทย แต่ก็วางตัวเป็น “คนกลาง” ได้อย่างเหมาะสมระหว่างขั้วอำนาจเก่า กับขั้วอำนาจใหม่ และเป็นนายกฯตอนที่คนไทยมีหนี้ท่วม! หนี้ครัวเรือนแซงหน้าหนี้สาธารณะ ดอกเบี้ยก็แพง! ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวย-คนจนห่างกันมาก สาเหตุมาจาก “รัฐประหาร” ปี 57 ฉุดรั้งประเทศเข้าคลอง! “จีดีพี” 9 ปีที่ผ่านมา โตแค่ 2% รั้งท้ายในอาเซียน

นายเศรษฐาแถลงนโยบายต่อสภา วันที่ 11-12 ก.ย.66 แต่กว่าจะมีงบประมาณปี 67 มาใช้จัดซื้อจัดจ้าง-ลงทุน-บริหาร ก็ปาเข้าไปวันที่ 26 เม.ย.67 แต่ไม่ได้เป็น “อุปสรรค” สำหรับนายเศรษฐา เพราะตลอด 358 วันที่เป็นนายกฯ ได้ทุ่มเทการทำงานอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทั้งในประเทศ และช่วงที่ไปต่างประเทศ

ผมมีโอกาสตามคณะของนายกฯ ไปประชุมเอเปคที่สหรัฐอเมริกา ช่วงปลายปี 66 จึงเห็นการวิ่งรอกทำงาน เพื่อพบปะผู้นำ-ผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ วันละไม่ต่ำกว่า 4-5 คณะ

วันเดินทางกลับจากสหรัฐ “เลขาฯบีโอไอ” บอกกับผมว่า “การมาเอเปคครั้งนี้ดีมาก เพราะนายกฯนำทีมมาเอง นายกฯมาจากภาคธุรกิจ จึงรู้เรื่อง ทำให้การพูดคุยเจรจามีน้ำหนักมากขึ้น ในยุคปัจจุบันไม่มีประเทศไหนเป็นแบบนี้ ที่เบอร์ 1 เคยเป็นนักธุรกิจ จึงมองลู่ทางธุรกิจออก แล้วนำทัพมาเอง จึงเป็นทิศทางและโอกาสในการดึงนักลงทุนเข้ามาในประเทศไทย ในเวลานี้ไทยจึงโดดเด่นมากในภูมิภาคอาเซียน”

7 เดือนแรกของปี 67 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยกว่า 20 ล้านคน ทำรายได้เฉียดๆ 1 ล้านล้านบาท สินค้าเกษตรหลายตัวมีราคาดีขึ้นจากอดีต โรงงานตั้งใหม่และมูลค่าลงทุนยังสูงกว่ากันเยอะกับพวกปิดกิจการ การค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านมีมูลค่าสูงขึ้น ภาพรวมการส่งออกครึ่งปี 67 ขยายตัว 2%

ปัจจุบันแก๊งหมูเถื่อน แก๊งปั่นหุ้นในหลายบริษัทที่คาราคาซังมาตั้งแต่รัฐบาลก่อน ถูกรวบเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหมดแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่นายเศรษฐาตั้งใจจะทำให้สำเร็จในช่วง 2-3 ปี คือ แลนด์บริดจ์-เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์-เจรจาพัฒนาแหล่งพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา ซึ่งโครงการหลังนี้ มีเป้าหมายให้จบภายใน 18 เดือน นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 67 แต่นายเศรษฐาโดนสอยเสียก่อน!

ประเทศและคนไทยไม่ได้มีโอกาสเจอ “ผู้นำ” แบบนี้บ่อยนัก! ดังนั้นผมจึงเสียดายนายกฯ แบบ “เศรษฐา”.

……………………………
พยัคฆ์น้อย

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…