เดินหน้าไร้รอยต่อสำหรับ “พรรคก้าวไกล” ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญฟันยุบพรรคไปสดๆ ร้อนๆ ฐานเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองฯ ก่อนกลายร่างเป็น “พรรคประชาชน” เพียงข้ามคืน วันนี้คอลัมน์ตรวจการบ้านเชิญพบกับ “เลขาฯติ่ง” ศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน สหายร่วมอุดมการณ์ผู้รับไม้ต่อจาก“ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ”อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และ“ชัยธวัช ตุลาธน”อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าจะสานฝันขับเคลื่อนพรรคสู้ศึกการเมืองอย่างไร

งานนี้ “เลขาฯติ่ง” ได้เปิดประเด็นกล่าว่าถึงแนวทางยุทธศาสตร์ ของพรรคประชาชนต่อจากนี้ไป ว่า ในส่วนของผมในฐานะที่เป็นเลขาธิการพรรคประชาชน เราได้วางภารกิจก็คือผมจะทำในส่วนของการสร้างพรรคให้กลายเป็นพรรคมวลชนอย่างแท้จริง ซึ่งการตั้งพรรคมวลชนมันเริ่มมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่สืบเนื่องมาจนถึงพรรคก้าวไกล พอเราพัฒนามาถึงพรรคก้าวไกลเราเห็นข้อจำกัดโครงสร้างพรรคแบบเดิม คณะกรรมการบริหารที่เลขาธิการพรรคฯ ไม่ได้ดูแลงานพรรคจริงๆ ก็จะเกิดปัญหาเพราะองค์ประกอบและองคาพยพภายในพรรคมันมีเยอะมาก ซึ่งคนภายนอกอาจจะมองไม่เห็น คนทั่วไปมักจะเห็นแต่ สส.และการทำงานในสภา

แต่สิ่งที่คนไม่เห็นก็คือพนักงานของที่เป็นหลังบ้าน กับอีกส่วนคืองานเครือข่ายที่เป็นตัวแทนของสมาชิกพรรคในพื้นที่ ซึ่งเรามีการเลือกตั้งตัวแทนพรรคแทบทุกจังหวัดแล้ว และองคาพยพใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็คือในส่วนของนักการเมืองท้องถิ่น สมาชิกพรรคที่ลงการเมืองท้องถิ่น

ดังนั้นถ้าถามว่ายุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อจะนำไปสู่การชนะในปี 2570 จะทำอย่างไรนั้น ก็คือการประสานงานทุกองคาพยพเพื่อให้เกิดการประสานงานที่สอดคล้องกัน เพื่อภารกิจไปสู่การชนะการเลือกตั้งในปี 2570 ผมคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นภารกิจหลักของผมในฐานะเลขาธิการพรรค

@ถอดบทเรียนสมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลอย่างไร

สิ่งสำคัญก็คือการจัดการภายในพรรคเองเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากโดยความคิดของเราในการตั้งพรรคที่ทุกคนร่วมเป็นเจ้าของนั้น มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่คนในสังคมรวมถึงภายในพรรคเราเองก็ยังไม่เคยทำมาก่อน เป็นการลองผิดลองถูกมาตั้งแต่อนาคตใหม่ ดังนั้นการที่ทุกคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของพรรค มันไม่ง่าย ความคาดหวังของแต่ละคนก็จะแตกต่างกันไปสูงมาก และการที่พรรคมีหลายองคาพยพซึ่งไม่มีใครบังคับบัญชาได้เด็ดขาด ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันต้องอาศัยการถอดบทเรียน

ถามว่าผมรู้หรือไม่ว่าจะแก้อย่างไร ณ วันนี้ยังไม่รู้ แต่การให้น้ำหนัก การให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดการพูดคุยสรุปบทเรียนเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราทำตรงนี้สำเร็จเราก็จะมีรากฐานของพรรคที่แข็งแรง ทำให้พรรคกลายเป็นของทุกๆ คนอย่างแท้จริง ทำให้เรามั่นใจว่า ในอนาคตพรรคนี้ไม่ว่าชื่ออะไร มันก็จะเดินไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างที่เราฝันไว้ สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้นำก็ตาม นี่คือสิ่งสำคัญที่สุด ที่ผมคิดว่าเป็นภารกิจที่ผมอยากจะทำให้สำเร็จในช่วงที่ผมเป็นเลขาธิการพรรค

ดังนั้นอีก 4 ปีข้างหน้าถ้าผมทำสำเร็จ ผมไม่กังวลเลย ใครเป็นเลขาฯ ใครจะเป็นกรรมการบริหารพรรค ทุกอย่างก็ยังเดินหน้าและมีเป้าหมายสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศ และคิดว่าเป็นภารกิจจริงๆ ของผมในการเข้ามารับหน้าที่ตรงนี้

@เรื่องที่ถูกนำมาเล่นงานพรรคมากที่สุดคือกรณีกฎหมายมาตรา 112 พรรคจะปรับเปลี่ยนทิศทางการขับเคลื่อนอย่างไร

เรื่องนี้ผมอยากให้ประชาชนมองว่าสิ่งที่ตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล มาสู่พรรคประชาชนต้องการก็คือการเข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับประเทศนี้ ที่เรามองว่ามีปัญหา ดังนั้นหัวใจมันอยู่ตรงนั้น ทีนี้เราก็ต้องมาดูว่าอะไรบ้างที่มันเป็นปัญหาใหญ่ๆ ซึ่งมันมีเยอะแยะมากมายไปหมดเวลาเราพูดถึงเปลี่ยนโครงสร้าง เรามีรายละเอียดนโยบายต่างๆ 300 กว่านโยบายและยังมีอีกเยอะที่กำลังพัฒนาอยู่ เพราะภาพใหญ่อยากให้เห็นว่าเราเข้ามาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ทีนี้มาสู่กฎหมายมาตรา 112 ถามว่ามีปัญหาหรือไม่ ถ้าถามอย่างนี้ก่อน หลายคนบอกว่าไม่มีปัญหา บางคนที่พยายามจะต่อต้านเราก็บอกว่ามันดีอยู่แล้วไม่มีปัญหา แต่เราต้องไปดูข้อเท็จจริงว่ามันมีการฟ้องร้องที่ก่อให้เกิดปัญหากับพี่น้องประชาชนจำนวนมากหรือไม่ มีคนที่ต้องเสียชีวิตในคุก และยังมีเยาวชนจำนวนหลักร้อยซึ่งเป็นจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ได้รับการประกันตัว

สิ่งแรกคือต้องมองและเข้าใจก่อนว่ามันมีปัญหาจริงว่ามาตรา 112 ไม่ว่าจะในตัวเนื้อหาสาระ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดโทษ หรือกระบวนการในการดำเนินคดีในมาตรานี้ ผมคิดว่ามันมีปัญหาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าการปรับปรุงแก้ไขจะทำอย่างไรในเมื่อวันนี้มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมา เราจะแก้ไขอย่างไร

ผมคิดว่าโจทย์นั้นจะเป็นโจทย์ของเรามากกว่า ถึงอย่างไรผมเชื่อว่าพี่น้องเพื่อนร่วมงานของผมในสภา รวมถึงองคาพยพของพรรคทั้งหมดก็ยังมองว่านี่คือปัญหา และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข แต่จะเปลี่ยนอย่างไรไม่ให้ไปล่วงล้ำคำวินิจฉัยที่กำหนดกรอบไว้ ผมคิดว่าอันนี้น่าจะเป็นโจทย์ที่เราต้องคิดมากกว่า แต่ถามว่าจะแก้ไขหรือไม่ ผมก็ต้องตอบว่าเราก็เดินหน้า

@ พรรคการเมืองอื่นในสภาแม้แต่พรรคเพื่อไทยดูมีท่าทีไม่เอาด้วยแล้ว ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้หรือไม่

ความสำเร็จจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ผมคิดว่าเราต้องลองทำก่อน แต่ความแตกต่างระหว่างเรากับพรรคอื่น ผมอยากบอกว่า มันต้องเริ่มต้นจากพวกเราพรรคประชาชน คือเราเชื่ออะไร เราก็จะคิดตามความเชื่อของเรา คือคิดในสิ่งที่เชื่อ พูดในสิ่งที่คิด เราคิดอะไรเราก็พูดแบบนั้น แล้วเราก็จะทำในสิ่งที่เราพูด ในขณะที่พรรคอื่นผมไม่รู้ ก็ต้องไปดูว่าเขาพูดอะไรไว้บ้าง ดังนั้นในเมื่อเราเคยพูดไว้แล้วว่านี่คือปัญหา แล้วเราก็พูดออกไปแล้วว่า 112 คือปัญหา แล้วเราก็พยายามออกแบบกฎหมายเพื่อจะแก้ปัญหานี่แล้ว ทำไปแล้ว วันนี้จะให้เราถอยมันไม่ใช่อยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นมันก็ขัดกับสิ่งที่ผมพูดว่าที่บอกว่า

คิดในสิ่งที่เชื่อ พูดในสิ่งที่คิด ทำในสิ่งที่พูด มันก็จะขัดและไม่ตรง ส่วนการทำอย่างไรให้สำเร็จอันนั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมเชื่อว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว สส.หลายท่านรวมถึงพรรคการเมืองอื่นเขาก็มองเห็นถึงปัญหานี้อยู่ ก่อนการเลือกตั้งในเวทีดีเบตต่างๆ เราก็ได้ยิน แม้แต่พรรคเพื่อไทยเองก็เคยพูดเรื่องนี้ว่าต้องมีการแก้ไข ดังนั้นผมเชื่อว่าโดยตัวพรรคการเมืองรวมถึง สส.ในสภาก็เห็นว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาอยู่ เพียงแต่เขาเขาอาจจะพูดอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนเรา

ดังนั้นการหาจุดกึ่งกลางหาจุดที่ยอมรับกันได้ว่าเราจะปรับแค่ไหน ให้มันยอมรับกันได้นั้น ผมคิดว่าเป็นไปได้ ที่จะทำให้หลายฝ่ายเห็นด้วยกับสิ่งที่เราเสนอในอนาคต

@มีแนวทางการต่อสู้กับนิติสงครามอย่างไรบ้าง

ในทางรายละเอียดกฎหมายต่างๆ รวมถึงกติกาที่เราต้องเดินตามกฎหมายพรรคการเมือง พ.ร.ป.พรรคการเมือง รวมถึงกฎหมายอื่นๆ แน่นอนเราพยายามดูอย่างเต็มที่อยู่แล้ว มีคนดูในทุกรายละเอียด เพื่อให้ให้โดนความผิดทางกฎหมาย แต่เรื่องนี้ก็ต้องเข้าใจว่าอำนาจและดุลยพินิจในการวินิจฉัยไม่ได้อยู่ที่เรา มันเป็นปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเราทำเต็มที่แต่จะถูกกระทำอย่างไร เราไม่สามารถไปคาดเดาตรงนั้นได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ผมอยากอธิบาย ในส่วนที่ว่าเราจะสู้กับระบบหรือวิธีการเหลานี้อย่างไร

ผมคิดว่าสิ่งที่ผมพูดไปแล้วในตอนต้นการตั้งพรรคมวลชนนี่แหล่ะจะเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ที่สุดแล้ว ถ้าเราเดินหน้าทำได้อย่างที่ผมพูดไป ทำให้พรรคนี้มีสมาชิกร่วมเป็นเจ้าของจริงๆ ซึ่งผมอยากให้รายละเอียดนิดหนึ่งว่าเวลาผมมองว่าจะทำให้พรรคนี้มีสมาชิกร่วมเป็นเจ้าของ เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีแนวคิดอุดมการณ์ สร้างการเปลี่ยนแปลง รูปธรรมเราจะทำอย่างไรบ้างนั้น จะเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากตอนที่ผมเป็น ผอ.พรรคก้าวไกล

ตอนนั้นผมวางไว้ 4 ตัวชี้วัดที่เราจะทำให้ได้ คือ 1.จำนวนสมาชิกที่เราจะขยายเรื่อยๆ วันนี้เรามี 5 หมื่น ตัวเลขจะต้องเพิ่มขึ้นตลอดเวลาแม้ไม่รวดเร็วแต่ต้องเพิ่มอย่างสม่ำเสมอทุกๆ เดือน เพราะการขยายสมาชิกคือการบ่งบอกเป็นตัวเลขที่ชี้วัดว่าประชาชนเห็นด้วยกับเรามากขึ้น 2. ทำให้สมาชิกเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคมากขึ้น 3.ทำให้โครงสร้างภายในของเรายึดโยงกับสมาชิกทั้งหมด ตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ลงไปถึงตำบล ถ้าเราทำได้ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้าเราหวังว่าจะมีโครงสร้างสมาชิกไปถึงระดับตำบล คือตัวแทนพรรคประจำตำบลที่มีกว่า 7,000 ตำบลทั่วประเทศ 4.ทำให้รายได้และงบประมาณที่นำมาใช้บริหารจากพรรคมาจากสมาชิกพรรคและพี่น้องประชาชน คนละเล็กคนละน้อย ซึ่งพรรคประชาชนเราทำได้แล้ว และเชื่อว่าเรามาถูกทาง ถ้าเราทำ 4 เรื่องนี้สำเร็จถึงอย่างไรเราก็เดินของเราได้อย่างมั่นคง

“การเกิดของพรรคประชาชนทำให้ผมมั่นใจเลยว่าเราทำได้ ก่อนหน้านี้มันเป็นแนวคิด แต่การเกิดขึ้นของพรรคประชาชนผมมั่นใจว่าเราทำสำเร็จ ตอนนี้การก่อเกิดของพรรคประชาชน มันเป็นอย่างที่ผมพูดไว้ทั้งหมดเลย ตั้งแต่ข้อ 1-4 วันนี้ 25 ล้านบาท ผมมั่นใจพรรคประชาชนจะเป็นพรรคที่ยืนอยู่ได้ด้วยเงินของประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้นสำหรับสิ่งที่เราจะโดนกระทำจากคนที่พยายามขัดแข้งขัดขาผมจึงไม่ได้กังวลตรงนั้น แน่นอนเราระมัดระวังอย่างที่สุด แต่ผมก็ไม่ได้กังวลตรงนั้นเยอะ เพราะผมเชื่อว่าเรากำลังพยายามสร้างพรรคให้กลายเป็นสถาบันทางการเมืองอย่างแท้จริงแล้ว”

@ วางเกมรับมือสู้คดี 44 สส. ใน ป.ป.ช.อย่างไร หากถูกชี้มูลจะสามารถสร้างบุคลากรขึ้นมาทดแทนทันหรือไม่

แน่นอนในเชิงตัวเลข สส.ปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งถ้าถูกตัดสิทธิ์เราก็ไม่มีโอกาสที่จะขยับขึ้นมา ก็ทำให้ สส.ในสภาอาจลดจำนวนลง ส่วน สส.เขต ถ้าถูกตัดสิทธิ์ในกรณี 44 สส. เราเชื่อว่าเราเอากลับมาได้ เราก็ต้องเอากลับมาให้ได้ทุกพื้นที่ อย่างสนามแรกของเราคือการเลือกตั้งซ่อม จ.พิษณุโลก เราก็ต้องเป้าหมายว่าจะต้องเอากลับมาให้ได้ ดังนั้นจำนวนตัวเลขอาจจะลดน้อยลงบ้าง แต่ผมคิดว่าว่าไม่ได้มีนัยสำคัญต่อเพื่อน สส.ของเราที่ทำงานในสภา ซึ่งทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อเปลี่ยนความคิดคน อภิปรายเพื่อให้คนเห็นร่วมกับเรา ๆ ยังคงทำสิ่งนั้นได้ดีในอนาคต แม้ว่าตัวเลข สส.ของเราจะลดลงบ้าง หากถูกตัดสินในกรณี 44 สส. ซึ่งไม่ได้เยอะ เฉพาะปาร์ตี้ลิสต์ที่อาจสูญเสีย แต่เขตผมเชื่อมั่นว่าเราเอากลับมาได้หมด ส่วนจะสามารถสร้างบุคลากรขึ้นมาทดแทนได้ทันเวลาหรือไม่นั้น จริงๆ

ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นเลย ผมอาจจะมองต่างกับสื่อหรือนักวิเคราะห์ต่างๆ ก่อนหน้านี้มาก ผมไม่เคยกังวลเรื่องการขาดบุคลากรเลย เพราะว่าด้วยความที่ผมอยู่กับบุคลากรภายในของเราตลอด ทุกคนขึ้นได้ ไม่ใช่เฉพาะ สส.ที่มีอยู่ แต่สิ่งที่คนมองไม่เห็นอย่างที่ผมบอกไปแล้ว เรามีตัวแทนพรรคทุกจังหวัด แต่ละจังหวัดมี 5-20 คน แล้วแต่ละคนเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ ทำงานกับพรรค บางคนตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ ดังนั้นคนเหล่านี้ขึ้นเป็น สส.ได้แน่นอน หรือว่าขึ้นมาทำหน้าที่อื่นๆ ได้ รวมถึงขนาดเป็นกรรมการบริหารพรรคก็ยังสามารถทำได้ ในแง่บุคลากรผมจึงไม่กังวลผมเชื่อว่าเรามีคนทดแทนตลอดเวลาอยู่แล้ว