ใจฟูกันไปทั่วประเทศกับนักกีฬาไทย สร้างประวัติศาสตร์ คว้าเหรียญทอง มาฝากคนไทย โชว์ให้เห็นศักยภาพนักกีฬาไทย ให้ได้ชื่นใจกันทั่วหน้า
แต่หันกลับมาที่การเมืองในประเทศ ออกอาการใจฝ่อกับสภาพเศรษฐกิจปัญหาอุปสรรคมากมายตัวเลขเศรษฐกิจตก ล่าสุดข้อมูลในการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ได้แสดงความห่วงใยต่อภาคการผลิตที่หดตัว เนื่องจากข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) มีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรก 667 แห่ง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 86.31% เฉลี่ย 111 แห่งต่อเดือน มูลค่าการลงทุนต่อโรงงานที่ปิดตัวลดลงเฉลี่ยเหลือ 27.12 ล้านบาทต่อโรงงาน
สะท้อนถึงการปิดตัวของโรงงานขนาดเล็กในอัตราที่เพิ่มขึ้นเศรษฐกิจไทยมีการลงทุนน้อย สัดส่วนการลงทุนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ต่ำกว่า 25% ลดลงจากที่เคยสูงเกือบ 30% ในขณะที่การออมเงินสูงจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและมีเงินทุนไหลออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เสียโอกาสในการนำเงินมาลงทุนปรับโครงสร้างการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในประเทศ
อีกทั้งหันมาที่สถานการณ์เวทีการเมืองกับต้องมาเจอกับสภาพใจช้ำๆของด้อมส้ม กับเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 สั่งยุบพรรคก้าวไกล ข้อหามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กรณีชูนโยบายแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พร้อมตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 2 ชุด เป็นเวลา 10 ปี
เล่นเอาแกนนำอดีตพรรคก้าวไกลพร้อมดอมส้มถึงกับน้ำตาริน แต่ยังประกาศ “ก้าวไกลไปต่อ!” พร้อมผลักดันแกนนำแถว 3 สาม ขึ้นมากุมบังเหียนสู้ศึกนิติสงคราม ระลอกใหม่
โดยส่งไม้ต่อให้ “เท้ง” ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ถือธงนำนั่งเก้าอี้หัวหน้าประกาศใช้ชื่อ “พรรคประชาชน” มีโดยมีแกนนำรุ่น 1 “เสี่ยเอก”ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำรุ่น 2 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และ ชัยธวัช ตุลาธน เป็นแบคอัพ และ “เท้ง”เองก็มีสานสัมพันธ์ที่ดีกับ “เสี่ยเอก”
โดย “พิธา” บอกหลังถูกตัดสิทธิ์ ว่า แม้ต้องอำลาในฐานะนักการเมือง แต่จะเริ่มต้นทำการเมืองในฐานะพลเมือง ไม่ทิ้งประชาชนตราบใดที่ประชาชนไม่ทิ้งตน ทำทุกวิถีทางให้บ้านเมืองดีขึ้น ช่วยพาหนะใหม่ของเพื่อนๆ อดีตพรรคก้าวไกล ตามที่กฎหมายอนุญาต และจัดตั้งรัฐบาลที่ดีที่สุดเท่าที่ไทยเคยมีมา
งานนี้ “พิธา” ยังกล่าวกับบรรดาพวกด้อมด้วยว่า ให้เอาความโกรธนี้ไประเบิดพลังในคูหาทุกการเลือกตั้งต่อจากนี้ไป โดยเฉพาะในเวที เลือกตั้ง อบจ. ที่ราชบุรีจะมีขึ้น และเลือกตั้งซ่อมสส.พิษณุโลก แทน“หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา อดีต กก.บห.พรรคที่ไม่ได้ไปต่อ รวมถึงการเลือกตั้งปี 70
ส่วนความเคลื่อนไหวของอดีตพรรคก้าวไกล จะเดินตามโมเดลของอดีตพรรคอนาคตใหม่ และ อดีตพรรคก้าวไกล
สถานการณ์ตอนนี้เข้าตำราเปิดศึกห้ำหั่น โดยมีปลายทางสนามเลือกตั้งปี 2570 แต่ที่แน่ๆบัลลังก์เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ได้หายวับไปกับตา เพราะ “พิธา” เป็นหนึ่งเดียวในบัญชีนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง สถานการณ์การเมืองตอนนี้จึงเดินหน้าเข้าสู่ศึกห้ำหั่น ปลายทาง คือ สนามเลือกตั้งปี 2570 ที่แกนนำอดีตพรรคก้าวไกล พูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่า จะกลายเป็นส้มทั้งแผ่นดินอีกหนึ่งยก
หากดูตามการเติบโตDNAของสีส้ม จะเห็นว่าตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ในการเลือกตั้งปี 2562 กวาด สส.มาได้ 81 คน กลายเป็นพรรคอันดับ3 มีคะแนน สส.บัญชีรายชื่อ 6,330,617 เสียง ทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และถูกยุบ จนกลายมาเป็นพรรคก้าวไกล โดยในการเลือกตั้ง ปี 2566 พรรคก้าวไกล กวาดสส.ได้ 151 คน ได้คะแนนบัญชีรายชื่อ 14,438,851 เสียง แต่ต้องถูกถีบไปเป็นฝ่ายค้านในที่สุด และล่าสุดก็ต้องพ่ายศึกนิติสงคราม ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพร้อมตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรคเป็นเวลา 10 ปี เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม
นิติสงครามเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ DNA สีส้มอ่อนแอ แถมยังสร้างความฮึกเหิมจนแกนนำอดีตพรรคก้าวไกลประกาศท้าทายเป็นเสียงเดียวกันว่า “ข้าไม่ตาย”
ก้าวต่อไปต้องจับตาดูว่าการย้ายไปบ้านใหม่ คนที่ทำตัวเป็นหนอน เป็นไส้ศึกคอยส่งข่าว ส่งข้อมูลให้กับฝ่ายตรงข้ามกี่ตัว แล้วต้องดูว่ายุทธศาสตร์ พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ (พรรคประชาชน) จะวางบริบทการแก้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไร เพราะจนถึงเวลานี้แกนนำอดีตพรรคก้าวไกลยังคงเดินเกมรุกประกาศเดินหน้าแก้มาตรา 112 เพราะศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีคำสั่งห้ามแก้ไข เบื้องต้นประกาศอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคประชาชน คือ “เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ”
เวทีการเมืองตอนนี้ร้อนระอุอยู่ในวังวนการสู้รบระหว่างสองฟาก คือ ขั้วเยาวชนคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็คือ กลุ่ม DNA สีส้ม กับ กลุ่มอนุรักษ์นิยม หมายถึง พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด ต้องไปวัดกันที่สนามเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยระหว่างนี้ได้เห็นการงัดกลยุทธ์การเมืองทุกรูปแบบขึ้นมาห้ำหั่นกันแล้ว จึงต้องมาดูว่าสนามเลือกตั้งปี2570 กลุ่มอนุรักษ์นิยม จะสยบส้มทั้งแผ่นดินได้หรือไม่
ถ้าประเมินตอนนี้สถานการณ์คนไทยยังแบ่งเป็นสองขั้ว สองข้างชัดเจนจากการเลือกตั้ง ปี 2566 จะเห็นว่ากลุ่มก้อนใหญ่ที่สุดจะเป็นกลุ่มของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ตอนนี้ถ้ามีการเลือกตั้งกลุ่มเยาวชนก็ยังอยู่ฟากสีส้ม ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมต้องมาหารคะแนนกันเอง
อีกทั้งขณะนี้ทางฟากกลุ่มอนุรักษ์นิยม ยังต้องมาเจอคำถามกับสิ่งที่เห็นภาพบาดตาบาดใจการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปเจอกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ครั้งแรก ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ในพิธีสวดพระอภิธรรมศพ นางชดช้อย ทวีสิน มารดา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ณ เมรุหลวงวัดเทพศิรินทราวาส
ทำคอการเมืองฟากอนุรักษ์นิยมที่ร่วมแรงร่วมใจมากับ “ลุงตู่” ทำการปฏิวัติรัฐประหารร่วมกันมาและมวลชนคนเสื้อแดง เกิดอาการจุกอกพูดไม่ออก ที่ผ่านมา คืออะไร หรือเป็นการละครเท่านั้น บ้านเมืองเกิดความเสียหาย ประชาชนไม่ได้อะไรจะกลายเป็นเสียของหรือไม่
และหากเลือกตั้งใหม่ไปจบด้วยการเมืองสูตรพิสดารรัฐบาลผสมข้ามขั้วโดยไม่สนสายตาประชาชน ไม่คิดถึงผลประโยชน์แผ่นดิน ถึงเวลานั้นจะเกิดอาการคับอกหาทางออกระเบิดออกมา จะกลายเป็นการส่งพลังให้ประชาชนส่งไม้ต่อให้ส้มทำหน้าที่เปลี่ยนประเทศ ตามที่แกนนำส้มประกาศไว้ และต้องมาเจอเหตุการณ์ซ้ำเดิม เชื่อว่าประเทศจะลุกเป็นไฟแน่นอน