ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวถึงการที่สหรัฐเตรียมนำระบบขีปนาวุธร่อนพิสัยทำการระยะไกล ไปติดตั้งที่เยอรมนีในปี 2569 ตามนโยบายด้านความมั่นคงยุโรปขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) ว่า “เป็นการเตรียมการเป็นระยะ” สำหรับการเตรียมติดตั้งขีปนาวุธที่ล้ำสมัยกว่านั้นแบบระยะยาวในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น เอ็มเอส-6 โทมาฮอว์ก และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง หรือขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก
ปูตินกล่าวต่อไปว่า ระยะเวลาการเดินทางของขีปนาวุธเหล่านี้ ซึ่งบางแบบสามารถบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ได้ อยู่ที่ประมาณ 10 นาทีเท่านั้น หากมีการยิงมาทางรัสเซีย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นเจตนายั่วยุและกระตุ้นความรุนแรง ไม่ต่างอะไรกับที่สหรัฐนำระบบอาวุธไทฟูน ซึ่งสามารถยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กได้ ไปติดตั้งที่ฟิลิปปินส์และจีน และการที่นาโตนำระบบขีปนาวุธแบบทิ้งตัว “เพอร์ชิง ทู” ไปติดตั้งในยุโรปตะวันตก เมื่อปี 2522
ทั้งนี้ ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า รัฐบาลมอสโก “พร้อมตอบโต้แบบเดียวกัน” ด้วยการติดตั้งระบบขีปนาวุธบนพื้นที่แห่งใดก็ตาม เพื่อให้มีระยะพิสัยทำการไกลถึงตะวันตก
ย้อนกลับไปเมื่อปลายเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา ปูตินกล่าวว่ารัสเซียควรกลับมาผลิตขีปนาวุธซึ่งเคยต้องระงับผลิตไป ตามเงื่อนไขของข้อตกลงควบคุมการผลิตและครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ระดับทวิภาคี ที่ลงนามร่วมกับสหรัฐในสมัยสงครามเย็น
อนึ่ง รัฐบาลวอชิงตันเมื่อปี 2561 ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ถอนตัวออกจากสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง ( ไอเอ็นเอฟ ) ที่ลงนามร่วมกับรัฐบาลมอสโกเมื่อปี 2530 ซึ่งเป็นช่วงปลายสงครามเย็นและปลายยุคสหภาพโซเวียต โดยให้เหตุผลว่า รัสเซียละเมิดข้อตกลงก่อน จากการเดินหน้าพัฒนาโครงการพัฒนาขีปนาวุธร่อนนำวิถีจากพื้นสู่พื้น “เอสเอสซี-8” หรือ “9 เอ็ม 729” ต่อจากนั้นไม่นาน รัสเซียประกาศถอนตัวออกจากไอเอ็นเอฟ ส่งผลให้ข้อตกลงมีอันยุติอย่างเป็นทางการ เมื่อเดือน ส.ค. 2562
ขณะเดียวกัน ปูตินวิจารณ์การที่ตะวันตกยังคงไม่หยุดสร้างภาพลักษณ์ และการรับรู้ให้กับชาวโลกว่า “รัสเซียคือศัตรู” มีแต่จะเป็นอันตรายย้อนศรกลับไปยังอีกฝ่ายเท่านั้น ปูตินเน้นย้ำว่า รัสเซียไม่เคยมี “ความใฝ่ฝันเกี่ยวกับลัทธิจักรวรรดินิยม” และไม่เคยมีแผนเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตี กับดินแดนของประเทศสมาชิกนาโต
อย่างไรก็ตาม หากรัสเซียเป็นฝ่ายถูกคุกคามหรือถูกโจมตีก่อน รัฐบาลมอสโกไม่ลังเลที่จะตอบโต้ด้วยการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ตามหลักการด้านนโยบายของประเทศ และกล่าวว่า จนถึงตอนนี้ สหรัฐเป็นประเทศแห่งเดียวบนโลก ซึ่งใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในสงคราม กล่าวคือ การโจมตีเมืองฮิโรชิมา และเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น ในช่วงปลายสงครามโลก เมื่อปี 2488
นอกจากนี้ ปูตินซึ่งสั่งให้กองทัพรัสเซียซ้อมรบนิวเคลียร์เชิงยุทธิวิธี ตั้งแต่เดือนพ.ค. ที่ผ่านมา กล่าวด้วยว่า การที่บรรดากลุ่มประเทศตะวันตกเปิดหน้าสนับสนุน ให้กองทัพยูเครนใช้อาวุธซึ่งได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายตะวันตก ในการโจมตีเป้าหมายที่อยู่ในรัสเซีย “เป็นการยั่วยุอย่างร้ายแรง” และเป็นเจตนากระตุ้นความรุนแรงด้วย เนื่องจากอาวุธเหล่านั้นมีความซับซ้อน และยังคงจำเป็นต้องมีการควบคุมโดยบุคลากรของตะวันตก
ผู้นำรัสเซียกล่าวด้วยว่า เมื่ออีกฝ่ายมองว่า การจัดส่งอาวุธลักษณะนี้เข้าสู่สมรภูมิ “เป็นความชอบธรรม” ดังนั้น รัฐบาลมอสโกมีสิทธิที่จะตอบสนองในระดับเดียวกัน ด้วยการติดตั้งอาวุธบนดินแดน ซึ่งสามารถใช้เป็นฐานโจมตี “สถานที่เปราะบาง” ของประเทศซึ่งต้องการโจมตีแบบเดียวกันกับรัสเซีย
อีกด้านหนึ่ง จีนประกาศเมื่อไม่นานมานี้ ระงับการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์กับสหรัฐ จากการที่รัฐบาลวอชิงตันยังคงขายอาวุธให้ไต้หวัน รัฐบาลปักกิ่งให้เหตุผล ว่าแม้การซื้อและขายอาวุธระหว่างสหรัฐกับไต้หวัน และการพบหารือระหว่างเจ้าหน้าที่ของทั้งสองฝ่าย “ยังคงเกิดขึ้นอย่างจำกัด” แต่ “ถือเป็นการบ่อนทำลายบรรยากาศทางการเมืองในภูมิภาคอย่างร้ายแรง ทว่ายังคง “แง้มโอกาส” ว่าจีนยังคงพร้อมรักษาช่องทางการติดต่อกับสหรัฐ ในเรื่องของการควบคุมอาวุธระหว่างประเทศ บนพื้นฐานของการมีความไว้วางใจ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ขณะที่สหรัฐตอบกลับท่าทีของจีน “เป็นการเดินตามรัสเซีย” ด้วยการที่รัฐบาลปักกิ่งอ้างเหตุผลว่า “การเจรจาเกี่ยวกับการควบคุมอาวุธไม่สามารถเดินหน้าได้ หากมีปัจจัยอื่นที่ถือเป็น “ความท้าทาย” ให้กับความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี” ซึ่งสหรัฐมองว่า การตัดสินใจของจีน “บ่อนทำลายเสถียรภาพทางยุทธศาสตร์” และจะเป็นการกระตุ้นกลไกการแข่งขันด้านอาวุธ
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนต.ค. 2566 กระทรวงกลาโหมสหรัฐเผยแพร่รายงาน ว่าด้วย “พัฒนาการทางทหารและความมั่นคงของจีน” คาดการณ์จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของจีน “มากกว่า 500 ลูก” เมื่อเดือน พ.ค. 2566 และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ช่วยเสริมสร้างให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ( พีแอลเอ ) มีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในครอบครองเพิ่มเป็น 1,000 หัว ภายในปี 2573 และ “หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงในทางใด” จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของจีนจะเพิ่มเป็น 1,500 ลูก ภายในปี 2578 “ซึ่งเร็วกว่าที่สหรัฐคาดการณ์ไว้มาก”
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัสเซียและจีน กำลังงัดข้อกับสหรัฐ ผ่านการใช้นโยบาย “การทูตนิวเคลียร์” แม้ยังไม่มีความชัดเจน ว่าท่าทีที่มีการแสดงต่อสาธารณชนของทั้งสามประเทศ จะส่งผลกระทบต่อการเจรจาซึ่งกำลังดำเนินอยู่มากน้อยเพียงใด แต่การขับเคลื่อนนโยบายการต่างประเทศและความมั่นคง เป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนในระดับสูง และเชื่อมโยงในหลายมิติ
อีกทั้งหากแต่ละฝ่าย “ไม่มีจุดยืนที่หนักแน่นและมั่นคงเพียงพอ” ในการใช้นโยบายของตน ควบคู่ไปกับชั้นเชิงของการต่อรอง และการประนีประนอม บรรดามหาอำนาจนิวเคลียร์กำลังทำให้ทั้งโลกต้องอยู่บนความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์ไปด้วยโดยปริยาย.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES