ดังนั้น วันนี้ “คอลลัมน์ตรวจการบ้าน จึงมาสนทนากับ มือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์  “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) หลังเข้ามารับตำแหน่งในรอบ 1 ปีได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้าง และแนวโน้มจะสามารถขจัดปัญหานี้ได้หรือไม่

โดย “ประเสริฐ รัฐมตรีดีอี”  ได้เปิดประเด็นในการเดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในรอบ 1ปี ว่า ตนได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (AOC) พร้อมเปิดสายด่วน 1441 ในการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ แบบ One Stop Service ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อลดปัญหาอาชญากรรมออนไลน์อย่างเป็นรูปธรรม  และจากการเฝ้าติดตามรายงานในทุกวันพบ ว่า มิจฉาชีพมักจะหลอกให้ประชาชนให้ลงทุนทางระบบคอมพิวเตอร์ หลอกให้ไปทำงานแล้วเรียกเก็บค่าใช้จ่ายล่วงหน้า และที่พบมากในขณะนี้ คือ การซื้อสินค้าออนไลน์ ที่ในบางครั้ง ได้ของไม่ตรงปก

ทางกระทรวง DE จึงได้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ออกมาตรการให้ผู้ซื้อมีสิทธิขอเงินคืนได้ หากไม่พอใจกับสินค้า ซึ่งขณะนี้ได้ออกเป็นกฎหมาย โดยออกเป็นราชกิจจาฯ แล้ว เหลือเพียงประกาศวันที่มีผลบังคับใช้

ส่วนนโยบายที่ทางกระทรวงฯได้เร่งดำเนินการ ร่วมกับทางสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ต้องการคืนทรัพย์ให้กับผู้เสียหายจากภัยออนไลน์ กำลังจะออกเป็นพระราชกำหนด เพื่อให้ระยะเวลาในการคืนเงินให้กับผู้เสียหายรวดเร็วขึ้น คาดว่าจะใช้ระยะเวลาคืนเงินให้ได้ภายใน 3-6 เดือน ทั้งนี้ต้องดูรายละเอียดของกฎหมายให้ถี่ถ้วนก่อน และคาดว่าภายใน 2 เดือนกฎหมายฉบับนี้จะมีความคืบหน้า

@ สิ่งที่คนไทยสัมผัสยิ่งปราบยิ่งเจอ ทางกระทรวงจะมีเกมรุกอย่างไร

ขณะนี้ทางกระทรวงก็มีการออกมาตรการเชิงรุกหลายอย่าง ซึ่งโจทย์หลักของกระทรวง คือ จะใช้เทคโนโลยีดิจิทัล อย่างไรในการสร้างสังคมเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อขับเคลื่อนดิจิทัล ที่ถือว่าเป็นเครื่องยนต์หลักที่จะเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่มีความจำเป็นต่อการแข่งขันในประเทศและต่างประเทศ การสร้างความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ ไม่ให้มิจฉาชีพหรือแฮ็คเกอร์ เข้ามาอ่านและทำให้เกิดความเสียหายด้านข้อมูลส่วนตัวของประชาชน และการสร้างกำลังคน หากประเทศจะก้าวไปใช้ดิจิทัล ในการขับเคลื่อน จำเป็นต้องมีการสร้างคนให้มีศักยภาพ ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายที่ทางกระทรวงอยากทำ

@  โพลหลายสำนักบอกว่า1ปีรัฐบาลประชาชนยังไม่เห็นถึงผลงานจะปรับอย่างไร

รัฐบาลทำงานอยู่หลายอย่าง และหลายมาตรการก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  มองว่าขณะนี้ราคาสินค้าพืชผล ทางการเกษตร ก็ดีขึ้น การท่องเที่ยวของไทยเองก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ต้องยอมรับว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้นกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา วันนี้ รัฐบาลก็ได้ประกาศแล้ว ว่า วันที่ 1 สิงหาคม จะมีการลงทะเบียนในโครงการดิจิทัลวอลเลต

ตอนนี้รัฐบาลทำงานหนัก นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่อยู่ตลอด ทั้งในและต่างประเทศ และให้ความสำคัญกับทุกบทบาทการทำงาน อย่างการประชุมสภา ก็หาเวลามาร่วมฟังการอภิปรายอยู่ตลอด อีกทั้งยังมีการเรียกประชุมเพื่อติดตามงานอยู่ตลอด ซึ่งคิดว่าวันนี้รัฐบาล และทุกกระทรวงก็ทำงานกันอย่างเต็มที่อย่างหนักพอสมควร

“นโยบายบางอย่างต้องใช้เวลา เหมือนยาที่เราให้ไป กว่าจะเริ่มออกดอกออกผล บางเรื่องสำเร็จแล้วบางเรื่องยังไม่สำเร็จแต่เป็นเรื่องที่ใกล้สำเร็จแล้ว อย่างดิจิทัล วอลเลต ที่เดือนหน้าก็จะชัดเจน และจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับประชาชนในกลุ่มใหญ่ของประเทศ ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่จำนวน 50 ล้านคน”

@ มองอย่างไรที่คนมองว่ารัฐบาลยิ่งทำงานคะแนนยิ่งลด

อยู่ที่ใครจะมอง วันนี้การเมืองในประเทศ มีหลากหลายกลุ่ม เพราะบางนโยบาย ประชาชนคอยอยู่ก็มี และนโยบายเดียวกันคนที่ไม่เห็นด้วยก็มี เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เห็นด้วยก็จะไม่ได้ชื่นชมการทำงานของรัฐบาล แต่คนที่เห็นด้วยและรอนโยบายดีๆอยู่ ก็ชื่นชมการทำงานของรัฐบาล ดังนั้นมีคนหลายกลุ่ม ซึ่งก็ถือว่า เป็นความเห็นที่ไม่ได้มาจากคนทั้งหมด และจากการลงพื้นที่พบปะกับประชาชน ก็ถือว่าได้รับการต้อนรับที่ดี

@ รัฐบาลจะวางแนวทางการทำงานเพื่อให้ได้ใจประชาชนได้อย่างไร

ส่วนตัวคิดว่า ขณะนี้รัฐบาลทำงานหนักอยู่แล้ว และคิดว่า ภายหลังจาก นโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจออกไป อย่างโครงการดิจิทัลวอลเลต คงจะตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนได้ และหลังจากนี้นโยบายที่ได้เคยประกาศไว้ก็จะเร่งทำให้มากยิ่งขึ้น ตามที่ได้เคยหาเสียงไว้ คิดว่า หากรัฐบาลสามารถทำได้ทั้งหมดแล้ว ประชาชนก็จะมีความสุข ต้องยอมรับว่าสถานการณ์หลายอย่าง ไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ภายในประเทศ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างประเทศด้วย และบางครั้งก็เป็นสถานการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมายที่ตั้งใจไว้ ก็ถือว่านี่คืออีก 1 ตัวแปรสำคัญในการจัดการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจ

@ ในฐานะที่เป็นแกนนำพรรคประเมินสถานการณ์พรรคเพื่อไทยได้อย่างไร โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่าง 2 ตระกูล

จริงๆแล้วไม่ใช่ความขัดแย้งกัน เพราะอยู่กันมาตั้งนาน ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่างฝ่ายก็ต่างเคารพนับถือซึ่งกันและกัน แต่ในบางครั้งก็อาจจะมีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่ไม่เข้าใจกันอยู่บ้าง แต่ส่วนตัวคิดว่า ลึกๆแล้ว ไม่มีอะไร และจากการที่พูดคุยกับ น.ส.แพทองธาร ก็เป็นอย่างที่ปรากฎออกมาตามสื่อ ส่วนตัวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับ ร.ต.อ.เฉลิม เพราะ นายอาชวิน อยู่บำรุง หลานชายของ ร.ต.อ. เฉลิมก็ยังทำงานอยู่ที่กระทรวงที่ตนกำกับอยู่ ส่วนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นจะส่งผลให้เกิดคลื่นใต้น้ำภายในพรรคหรือไม่นั้น มองว่าทุกคนเป็นผู้ใหญ่ และมีวุฒิภาวะมากพอ คงจะไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ และทุกคนในพรรคก็เข้าใจเรื่องการเมือง

@ บทบาทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ออกเคลื่อนไหวมองว่าเป็นผลบวกหรือลบ ต่อพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล

ส่วนตัวยังไม่อยากพูดถึงขั้นนั้น แต่สิ่งที่พูดได้คือ นายทักษิณ คือบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ในอดีตที่ผ่านมาครั้งที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็สามารถขับเคลื่อนประเทศนำนโยบายดีๆ หลายอย่าง มาแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองได้ในขณะนั้น เช่นนโยบาย 30 บาท รักษาทุกโรค การแก้หนี้ ไอเอ็มเอฟ การก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิให้แล้วเสร็จ สิ่งเหล่านี้ คือภาพจำที่ นายทักษิณ เคยประสบความสำเร็จมา โดยเฉพาะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคที่วันนี้แม้แต่ต่างประเทศก็ยังมาศึกษาดูงาน

“ด้วยความรู้ความสามารถของนายทักษิณ เป็นประโยชน์กับประเทศชาติสามารถช่วยประเทศชาติได้ แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถแสดงออกได้ในทางไหน ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคตและหากนายทักษิณเข้ามาช่วยงานรัฐบาลแต่ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยก็มีรากฐานมาจากพรรคไทยรักไทยเพราะฉะนั้นย่อมมีความสัมพันธ์กันในทางจิตวิญญาณ ซึ่งเชื่อว่าสิ่งที่พรรคไทยรักไทยทำ ก็เกิดประโยชน์หลายต่อประชาชน”.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่