ซึ่งก็อาจเรียกได้ เพราะมันเป็นเอเลี่ยน สปีชีย์ คือสายพันธุ์ที่ถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศแล้วปรับตัวอยู่กับสภาพแวดล้อมในไทยได้ ทำลายสัตว์น้ำในระบบนิเวศไทยโดยการแย่งอาหาร กินตัวอ่อน สัตว์น้ำชนิดไหนที่มีวงจรชีวิตเปราะบางก็ยิ่งเสี่ยงสูญพันธุ์ง่าย แล้วสุดท้ายความหลากหลายทางชีวภาพก็หายไปเหลือแต่ปลาชนิดนี้

คนทำนากุ้งน้ำตาตก เพราะลงกุ้งไว้เยอะ วันดีคืนดีหว่านแหเอากุ้งขึ้นมากลายเป็นปลาหมอคางดำหมด ไม่รู้มันแถกเหงือกเข้ามาในนากุ้งได้อย่างไร ชาวประมงพื้นบ้านที่ทำประมงน้ำจืดเจอปลาชนิดนี้เยอะมาก ปลาอย่างอื่นหายเกือบหมด ยกเว้นพวกสายพันธุ์แนวๆ เอเลี่ยนสปีชีส์เหมือนกัน อย่างปลาดุก ปลานิล

“ว่ากันว่า” แต่ก่อนร่อนชะไรสักสิบกว่าปีมาแล้ว  มีบริษัทเอกชนเจ้าหนึ่งซึ่งก็ไม่รู้ว่าบริษัทอะไรเนาะ … เอาตัวอย่างมันเข้ามาพัฒนาสายพันธุ์ อารมณ์ว่ามันอึดแต่ตัวเล็ก เนื้อน้อย ก็เลยกะจะพัฒนาให้เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจ ตัดต่อพันธุกรรมอย่างไรหรือผสมข้ามพันธุ์อย่างไรก็เอาเหอะให้ได้เนื้อเยอะๆ ออกลูกเร็วๆ  แต่ปัญหาคือ “มันไม่ได้ดังใจ”นี่แหละ เลยล้มเลิกโครงการ แล้วก็ทำลายตัวอย่างที่ขออนุญาตนำเข้ามาแล้ว .. แต่ก็ไม่รู้ว่า มันเหลือรอดออกไปได้อย่างไร ซึ่งทางกรมประมง ที่อนุญาตนำเข้า ก็เห็น รมช.เบนซ์ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ ตอบกระทู้นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ สส.กทม.พรรคก้าวไกล ประมาณว่า เอกสารรายละเอียดมันหายไป

ก็เลยมีสมมุติฐานว่า เกิดมีใครนำเข้ามาเลี้ยงเป็นปลายสวยงาม ( ตรงนี้มีคนงงมันสวยมันงามตรงไหน ก็อาจมีการพัฒนาสายพันธุ์เป็นปลาหมอสีฟ้าๆ ชมพูๆ แบบที่เขาเลี้ยงๆ กันได้มั๊ง ) แล้วสักพักเบื่อ หรือน้ำท่วม หรือ ฯลฯ พันหมื่นเหตุผลให้มันหลุดลงแหล่งน้ำธรรมชาติ ..ก็อย่างไอ้ปลากดเกราะหรือปลาซัคเกอร์ที่ระบาดไปหลายลำน้ำนี่ก็ไม่เห็นมีข่าวว่า มีบริษัทที่ไหนจะเอามาพัฒนาใช้กินเนื้อเพราะแกะเปลือกมันยากจะตาย ..น่าจะหลุดไปจากร้านขายปลาสวยงาม นี่ก็ระบาดไปทั่วแล้วก็เห็นมีคนพยายามทำคลิปจูงใจอยู่ว่า..เนื้อ , ไข่มันอร่อยอยู่ แต่หลายคนเขาก็ว่าเอาไปทำอาหารสัตว์เหอะ

อย่างไรก็ตาม..วันนี้เรียกว่า“ฉิบหาย” ไปแล้ว ดูจากข่าวที่จับได้หลายจังหวัด จับทีเป็นฝูงยักษ์ ที่น่าเป็นห่วงมากๆ คือ การจับได้บริเวณปากแม่น้ำ ยิ่งปากแม่น้ำย่านอ่าวไทยรูปตัว ก. เพราะปลาชนิดนี้เป็นปลาสามน้ำ คืออยู่ได้หมดทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำเค็ม ถ้ามันหลุดเข้าเขตป่าชายเลนอันเป็นเขตอนุบาลสัตว์น้ำสำคัญ เห็นทีจะยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ หนัก …ตอนนี้ก็เหมือนภาคประชาชน หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นก็จัดงานอารมณ์ลงแขกเกี่ยวข้าว ให้มาช่วยจับปลาหมอคางดำให้ได้มากที่สุด เร็วที่สุด แบบต้องจับทุกวันได้ยิ่งดี เพราะปลาชนิดนี้วงจรชีวิตมันเร็ว ข่าวว่าตัวเมียวางไข่แค่ประมาณเกือบๆ เดือน ก็พร้อมจะวางไข่อีก ตัวอ่อนมันก็จัดการยาก เพราะตัวผู้อมไว้ในปาก

แล้วก็มีการจูงใจให้คนมาช่วยกันจับไอ้ปลาชนิดนี้มากๆ ช่วยกันคิดเมนูเป็นที่สนุกสนาน ทำแดดเดียวบ้าง ทำฉู่ฉี่บ้าง  ทำน้ำยาปลากินกับขนมจีนบ้าง หรือกระทั่งเอาไปบดทำปุ๋ย คือมีเยอะฆ่าให้ตายกันไปข้างแบบไม่ต้องเสียดาย .. เร็วๆ นี้น่าจะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุโดยให้นายกฯ ไปกินเมนูปลาหมอคางดำอีกกระมัง ก็เห็นผู้ว่าฯ กทม.กินโชว์แล้ว ..มีภาพความสามัคคีช่วยกันจับปลาหมอคางดำ ช่วยกันคิดทำอาหารโน่นนี่ เช็ดน้ำตาปลอบขวัญตัวเองว่าเดี๋ยวคงเหมือนหอยเชอรี่ที่เคยระบาดที่ภาคอีสาน แต่ตอนนี้หายเรียบเพราะคนอีสานจับกินหมด ( ตำหอยเชอรี่แซ่บอยู่นะ เนื้อเด้งดี )

อนิจจาเอ๋ย!!! มันคือการ romanticize ปัญหามาก  คือ “ทำให้มันเป็นเรื่องของอารมณ์และความรู้สึกมากกว่าเหตุผล” ชื่นชมชาวบ้านที่คิดเมนู ชาวบ้านที่ช่วยกันจับ ..แต่นั่นคือเพราะเขาเดือดร้อนแบบเต็มกลืนจนจะอ้วกแล้ว ..ทำไมไม่ไปไล่บี้กับผู้กระทำผิดที่ปล่อยปละละเลยให้มันหลุด ? หรือใครที่นำเข้ามาจะมีส่วนรับผิดชอบอะไรหรือไม่ ? ก็คงจะไปว่าเขายากเพราะเขายืนยันเขาทำลายตัวอย่างที่เอามาทดลองหมดแล้ว ทีนี้จะจับมือใครดมล่ะว่าผิด ..โยนพวกเอามาพัฒนาเป็นปลาสวยงามก็ไม่ทราบว่าใครนำเข้ามา .. เห็นเรื่องเวลาเอเลี่ยนสปีชีส์ระบาดแล้วหาอีตัวต้นเรื่องไม่ได้นึกถึงประเทศออสเตรเลีย ความที่เป็นเกาะห่างไกล และมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ ธรรมชาติ ค่อนข้างเฉพาะ ทำให้ประเทศนี้เข้มงวดมากกับการเอาอะไรเป็นๆ หรือสามารถเป็นเชื้อให้สิ่งมีชีวิตเกิดได้เข้าประเทศ

ของเรา..สงสัยจบกันแบ๊วๆ ว่า “ก็ไม่รู้อ่ะ แบบว่า บันทึก เอกสารมันหาย เลยไม่รู้เอาผิดใคร แต่วันนี้มันระบาดแล้วเราช่วยกันนะ” แล้วชาวบ้านก็ช่วยกันจับตาไป มีกรมประมงลงมาให้ความช่วยเหลือบ้าง รอหลุดไปป่าชายเลนคงได้กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมาช่วย และก็มีประกาศวาระแห่งชาติ ฯลฯ ลืมไปข้อนึง ลืมตั้งกรรมการสอบสวนหาตัวคนผิด ก็ชอบลืมอะไรแบบเนี้ย แนวๆ “ชาวบ้านเขาจับกันอยู่เราก็เนียนๆ ไปเนาะ”

มันเป็นเรื่องชอกช้ำในสังคมไทย ที่เอาการ romanticize แนวๆ “ไทยรวมพลังตั้งมั่น” มาบังหน้าปัญหา ไม่ให้สาวถึงอีตัวต้นเรื่อง ..กรณีแนวๆ นี้ก็เคยเกิดหลายปีก่อน ที่ท่อน้ำมันบริษัทอะไรไม่รู้รั่ว แล้วน้ำมันดิบมันลอยเข้าเกาะเสม็ด คือก็โชว์จิตอาสากันใหญ่ ว่า เชิญชวนให้คนไทยช่วยกันทำความสะอาดชายหาด บริษัทต้นเรื่องก็รับผิดชอบไปส่วนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่า จะมีผู้ประกอบการหรือใครฟ้องข้อหาทำลายสิ่งแวดล้อมบ้างหรือไม่ ..อีกกรณีที่เป็นเรื่องอัปยศคือ “การทำลายหลักฐานหลังสังหารหมู่” ภายหลังการสลายม็อบเสื้อแดง มีการ big cleaning ครั้งใหญ่ที่เซนทรัลเวิลด์ ..ใครอยากช่วยก็ช่วย ก็เห็นมากันเยอะอยู่ วิญญาณคนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์คงมองตาปริบๆ ..

คือต้องปรับวิธีคิดกันใหม่ เรื่อง “ไทยรวมพลังตั้งมั่น” ช่วยกันทำอะไรมันไม่ได้แย่ แต่ต้องใช้พลังตรงนี้เพื่อกดดันให้“ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ”แสดงความรับผิดชอบอย่างเหมาะสม เยียวยาต่อบุคคลที่เสียหาย เยียวยาต่อสิ่งแวดล้อม หรือสิ่งก่อสร้างที่มีความเสียหายด้วย บางทีก็น่าคิดว่า “เป็นการวางแผนของนายทุนหรือเปล่า ?” ไอ้ประเภทสร้างภาพ romanticize ปัญหาจนกระทั่งไม่ได้สาวถึงคนทำให้เกิดปัญหาอย่างชัดเจนนัก ..เรื่องปลาหมอคางดำ ย้ำว่า นี่คืองานวัดความมืออาชีพของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งทำลาย ทั้งเรียกหาผู้รับผิดชอบ แต่ขณะเดียวกัน ประชาชนก็อย่าลืมว่า เราไม่ได้มีเรื่องเดียวของกระทรวงนี้ที่ต้องสนใจ การดึงที่อุทยานแห่งชาติทับลานส่วนหนึ่งมาทำเป็น สปก. ก็ต้องระวังอย่าให้มีรุกป่า

วันนี้ คนไทยช้ำเพราะถูกกลุ่มมีทุน – กลุ่มอำนาจเบียดเบียนในรูปแบบต่างๆ เรื่อยๆ .. ถ้าจะต้องแก้กฎหมายเกี่ยวกับศาล ก็เพิ่มความ“ตึง”ให้ศาลแผนกคดีสิ่งแวดล้อมหน่อยก็ดี เพราะการเบียดเบียนจากกลุ่มทุน-กลุ่มอำนาจหลายเรื่องมันมีผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การเผาทำลายเศษซากทางการเกษตรที่ทำให้เกิดฝุ่นพิษ ก็ไม่เคยเห็นข่าวว่าจับมือใครดมได้ว่าต้นตอใหญ่คือใคร ..จับได้แบบ ต้องเป็นข่าวมีคำพิพากษาจริงๆ .. อย่าให้มีแต่ข่าวโทษชาวบ้านเผาป่าหาผักหวานไปเรื่อย

นอกจากเรื่องที่ว่ามา ก็มีเรื่องที่ไม่รู้ว่า “ช้ำคือเรา” นี่คือคนไทยหรือคือเจ้าของเรื่อง กรณีแรก นายกฯ เสี่ยนิด เศรษฐา ทวีสิน นายกฯ หลังๆ นี่เริ่มจะไม่ค่อยคุยกับสื่อเท่าไร เน้นลงพื้นที่ไปหากองเชียร์ ตามงาน มอบนโยบายแก้ปัญหายาเสพติด จนนายวรชัย เหมะ ที่ปรึกษารัฐมนตรี ( นายภูมิธรรม เวชยชัย ) ต้องเตือนๆ ให้เรียกข้าราชการมาติดตามข้อสั่งการบ้าง ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นสัญญาณจากพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะนายภูมิธรรมก็เป็นระดับบิ๊กๆ ในพรรค แต่คงไม่พูดเอง ส่งเด็กมาเตือนอ้อมๆ แล้วแต่จะมองว่า “รักษาน้ำใจหรือไม่”

เขาก็วิเคราะห์ท่าทีคล้ายๆ จะ burn out หรือหมดไฟของนายกฯ เสี่ยนิดไปต่างๆ นานา อาทิ โครงการเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเลตอืดเป็นเรือเกลือ ฝ่ายค้านโจมตีไม่หยุดเรื่องไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น งานมีแต่ไปโชว์ผ้าขาวม้าต่างประเทศ ฯลฯ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีคนตั้งข้อสงสัยว่า อาการเหมือนจะ burn out นี่น่าจะเป็นเพราะ 22 ส.ค. “ผู้มีบารมีตัวจริง” ของพรรคเพื่อไทย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็จะพ้นโทษแล้ว ซึ่งนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกฯ การันตีให้ว่า “ทำงานอะไรก็ได้ที่กฎหมายไม่ได้ห้าม” คืองานที่ไม่ต้องใช้คุณสมบัติเรื่องห้ามผ่านการรับโทษมาแล้ว อย่างเช่น งานที่ปรึกษาของนายกฯ หรือไปทำงานพรรคก็ได้ เป็นสมาชิกพรรคสั่งการอะไรได้ไม่ถือว่าครอบงำ

แล้วหัวหน้าพรรค น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ลูกสาวเขา ซึ่งยากส์..และไม่น่าเชื่อว่า อุ๊งอิ๊งไม่ถามพ่อเลย ..และก็ไม่รู้ว่า จากนี้นายทักษิณจะแย่งซีนนายกฯ เสี่ยนิดอีกเท่าไร ดูการที่รัฐมนตรีตามไปทำบุญที่สุรินทร์ ก็น่าจะถามถึงความเหมาะสมกันในพรรคบ้าง ว่า “นายทักษิณไม่ได้มีตำแหน่งอะไรแล้ว รัฐมนตรีจำไปเดินตามตูดทำไม” ขณะที่นายกฯ เสี่ยนิดตรวจราชการที่สระแก้วในวันเดียวกัน ซึ่งตรงนั้นมันมีความเป็นพื้นที่ชายแดนที่ยาเสพติดทะลักเข้ามาได้เช่นกัน ทำไมนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม จึงเลือกที่จะไปทำบุญที่สุรินทร์กับอดีตนายกฯ ..ยิ่งแยกกันเดินสาย หลังๆ จะเกิด..ไม่เรียกว่าภาวะนายกฯ สองคนหรอก เพราะรู้ ว่าใครได้รับโปรดเกล้าฯ แต่จะเกิดภาพงัดว่า ใครมีบารมีมากกว่ากัน

ก็ไม่รู้นายกฯ เสี่ยนิดจะช้ำ หรือคนไทยจะช้ำดี ที่สุดท้าย เรื่องของประเทศก็วนเวียนอยู่กับคนตระกูลเดียว ..พรรคเพื่อไทยวันนี้ไม่เหมือนไทยรักไทยวันวาน การเติบโตของไทยรักไทยเพราะคนต้องการความเปลี่ยนแปลง แต่เพื่อไทยยุคนี้กลายเป็นภาพของพรรคที่ต้องไปสมยอมผลประโยชน์กับพรรคอื่นเพื่อจัดตั้งรัฐบาล นโยบายอะไรที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงให้อยู่ดีกินดีก็ไม่เห็นผลชัด มีแต่นายกฯออกมาทะเลาะกับ ผู้ว่าฯนก นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) เรื่องดอกเบี้ย จนคนไทยสงสัยว่า ก็เห็นมีภาพคุยกันอยู่ทำไมไม่คุยให้เสร็จๆ ต้องมาว่ากันผ่านสื่ออีก ..นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นถูกกระทุ้งเรียกร้องหนัก บอกว่าอย่ารอแต่เงินดิจิทัลที่เมื่อพูดถึงบางคนเริ่มเบะปากใส่แล้วว่า ช้า ยึกยักลำไยน่ารำคาญ ไหนบอกเข้ามาแล้วทำได้ทันที ที่ไหนได้ยังต้องออกกฎหมายผันงบกลางปี 67 มาใช้อยู่เลย

คือถ้าเทียบกับกรณีพรรคเพื่อไทยเก่าเป็นรัฐบาล พอเข้ามาปุ๊บ มันมีนโยบายที่เป็นที่ฮือฮาทันที อย่างนายทักษิณเป็นนายกฯ ก็มี 30 บาทรักษาทุกโรคในเวลาไม่นาน พร้อมคำประกาศที่เป็นความหวังของหลายๆ คน “สี่ปีซ่อม สี่ปีสร้าง”  พอเป็นรัฐบาลพลังประชาชน รถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชนก็ช่วยคนชั้นกลางถึงล่างประหยัดค่าเดินทางได้เยอะ แม้กระทั่งครั้งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ดำรงตำแหน่ง จำนำข้าวก็สร้างความฮือฮา เพราะจ่ายจริง ( ซึ่งเป็นคนละด้านกับเจ๊งจริง ) มารัฐบาลนายเศรษฐา ทุกอย่างดูช้าไปหมด แถมจะโดนอดีตนายกฯ แม้วแย่งซีน

แต่คนที่อยู่ในอำนาจ ก็คงพยายามอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองเกาะอำนาจไว้ได้มากที่สุด เพราะขืนลุกอาจถูกเชคบิลหลายเรื่องอยู่ และอำนาจมันหอมหวานอย่างไรก็น่าจะรู้กัน สิ่งที่น่าสนใจคือ การยกร่างรัฐธรรมนูญครั้งใหม่ไม่ทราบว่า จะเกิดกติกาให้ขั้วรัฐบาลชุดนี้ได้เปรียบในการเลือกตั้งหรือไม่ ..อะไรๆ มันซ่อนกลในกฎหมายได้มากกว่าที่คิด ไม่เชื่อไปดูเรื่องการเลือก สว. กรรมการยกร่างฯ มั่นใจมากว่าได้คนดีๆ มา แต่ผลออกมา..ก็ให้รอดูเขาทำงานก่อนแล้วกัน

ก็เป็นเรื่องช้ำ ๆ เหมือนถูกยัดเยียดให้ช้ำอย่างไรก็ไม่รู้.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่