“ตัดสินใจย้ายไปอเมริกา เพราะเบื่อชีวิตเร่งรีบวุ่นวาย ตั้งใจจะไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์กับแฟนที่นั่น เพราะเป็นเมืองชนชท” สาวเจ้าของเพจเฟซบุ๊กดัง “บี อินอเมริกาชนบท” บอกเล่าจุดเริ่มต้นเส้นทางชีวิตใหม่โดยย้ายจากไทยไปอยู่สหรัฐอเมริกา แต่ด้วยความที่ไม่อยากอยู่เฉย ประกอบกับมีพื้นฐานเป็นแม่ค้ามาตั้งแต่เด็ก เธอได้สร้างอาชีพสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำจาก “หน่อไม้-ข้าวหลาม” ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปพูดคุยกับสาวคนนี้… “บี-สมฤดี แก้วมณีวงศ์”

“บี-สมฤดี” วัย 35 ปี ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของธุรกิจชื่อ BB Brown Crepe Bar และเป็นคนก่อตั้งเฟซบุ๊ก “บี อินอเมริกาชนบท” เธอเล่าประวัติย่อ ๆ ให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า เป็นชาว จ.สกลนคร แต่งงานกับสามีชาวอเมริกัน และย้ายไปอยู่ที่เมืองบอร์ดวิน (Baldwyn) รัฐมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยก่อนหน้าจะสร้างครอบครัวที่นี่ เธอเรียนจบปริญญาตรีจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาวิชาสถาปัตยกรรมเมืองและชุมชน ที่ จ.มหาสารคาม และเริ่มต้นอาชีพสถาปนิกกับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่หลังทำงานไปสักพักหนึ่งก็รู้สึกเหนื่อยหนักกับงานมาก เพราะเลิกงานก็ต้องหอบงานกลับมาทำต่อที่ห้องพักหากโปรเจคท์ที่ต้องดูแลไม่เสร็จ จนรู้สึกไม่อยากอยู่และทำงานที่กรุงเทพฯ ซึ่งพอดีกับที่ทางน้าของเธอ ที่เป็นอาจารย์แผนกช่างโยธา ที่วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร ได้โทรศัพท์มาหาและถามเธอว่าอยากเป็นครูบ้างมั้ย เพราะช่วงนั้นที่โรงเรียนที่น้าสอนอยู่กำลังรับสมัคร ก็เลยไปลองดู ปรากฏติด ก็เลยลาออกจากงานที่กรุงเทพฯ ไปเป็นครูที่สกลนคร

“พอเปลี่ยนมาทำอาชีพครู แม้เงินเดือนจะไม่เยอะ แต่มีห้องพักให้ครูอยู่ฟรี ที่สำคัญใกล้บ้านเกิด ทำให้มีเวลาไปหาพ่อแม่ง่ายขึ้น โดยสอนหนังสือที่นี่อยู่ 6 ปี บีก็เริ่มอิ่มตัว เพราะจริง ๆ บีมีความฝันว่าอยากไปอยู่ต่างประเทศ และก็เดินสาย ฝ. มาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว (หัวเราะ) แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ” เธอบอกเล่าเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเล่าให้ฟังถึงตอนที่ยังเด็ก ๆ ว่า เป็นคนชอบขายของมาตั้งแต่เด็ก อาจเพราะเกิดและโตในครอบครัวทําอาชีพเกษตรและค้าขาย อย่างตอนเรียนอนุบาล แม่จะทํามะม่วงดองกับมะขามดองให้เธอเอาไปขายที่โรงเรียน หรือช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ก็ใช้เวลาว่างหลังเลิกเรียนไปเปิดร้านขายเสื้อผ้า ส่วนช่วงวันหยุดก็ไปทํางานขายเครปญี่ปุ่น ไม่ก็ทำอาหารคลีนและบราวน์นี่ขาย โดยเธอบอกสั้น ๆ ถึงเหตุผลที่ชอบค้าขาย ชอบเป็นแม่ค้าว่า “สนุก และได้จับเงินทุกวันด้วย”

บีกับผลผลิตในฟาร์มของเธอ

ส่วนเส้นทางความรักของบีกับแฟนชาวอเมริกัน เธอเล่าว่า เจอกันทางเว็บหาคู่ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็ห่างกันไปช่วงหนึ่ง จนกระทั่งตอนทำงานเป็นครู แฟนได้มาหาเธอถึงโรงเรียน ตอนนั้นแฟนเธอเป็นทหาร จึงเริ่มสานต่อสัมพันธ์กันอีกครั้ง ซึ่งการคบกันครั้งนี้ เธอและแฟนตัดสินใจจะเริ่มต้นชีวิตครอบครัว โดยแฟนชวนให้ไปอยู่ที่อเมริกาด้วย โดยตัดสินใจควักเงินซื้อที่ดิน 220 เอเคอร์ หรือราว ๆ 500 ไร่ ซึ่งเธอก็ตอบตกลงทันที เพราะเป็นความฝันเดิมของเธออยู่แล้ว

หลังจากนั้นก็ไปทำเรื่องขอวีซ่าเพื่อจะไปดูลาดเลาก่อน แต่วีซ่าไม่ผ่าน ก็เลยเปลี่ยนเป็นขอวีซ่าประเภทคู่หมั้น โดยบีเล่าอีกว่า หลังตัดสินใจไปอยู่อเมริกากับแฟน ตอนนั้นแฟนของเธอไม่ได้เป็นทหารแล้ว แต่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมิสซิสซิปปี ในหน่วยงานที่คล้าย ๆ กับกรมโยธาฯ หรือกรมทางหลวงบ้านเรา แม้เงินเดือนไม่มาก แต่สวัสดิการดี วันหยุดก็เยอะ ซึ่งก่อนไปอเมริกาเธอกับแฟนวางแผนกันว่าจะทำฟาร์มปลูกผัก เลี้ยงไก่ไว้กินเอง เพราะตั้งใจจะใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ที่ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก

บีกับผลผลิตในฟาร์มของเธอ

“ชนบทในอเมริกาโดยรวมก็ไม่ค่อยแตกต่างจากต่างจังหวัดของไทยเท่าไหร่ ชนบทอเมริกาคล้ายอีสานบ้านเรา วิถีชีวิตผู้คนแทบจะเหมือนกันเลย ถ้าเกิดและโตที่นี่ ก็จะรู้จักกันทั้งเมืองเลย แถมผู้คนก็อัธยาศัยดี เวลาขับรถผ่านกันก็จะทักทายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งบีว่าเราโชคดีที่มาอยู่ที่นี่ ทำให้ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก จะมีก็แค่อากาศหนาวและเรื่องกิน เพราะบีไม่ค่อยชอบอาหารฝรั่ง ก็เลยทำอาหารไทยกินเองทุกวัน” เธอบอกเรื่องนี้ พร้อมขยายภาพว่า เมืองที่เธอไปอยู่ที่รัฐมิสซิสซิปปี คนส่วนใหญ่จะทําเกษตรกรรมและทําฟาร์มเป็นหลัก และใช้เครื่องจักรทั้งหมด ซึ่งตัวเธอก็ทำฟาร์ม ปลูกผัก เลี้ยงไก่ ผักที่ปลูกส่วนใหญ่เป็นผักไทย เนื่องจากร้านขายของคนเอเชียไม่ค่อยมีผักไทยขาย ส่วนพวกเครื่องปรุงของไทย ก็ต้องขับรถไปซูเปอร์มาร์เก็ต 30 นาที เพราะมีคนเอเชียน้อยมาก อย่างเมืองที่อยู่จะมีเธอเป็นคนไทยเพียงคนเดียวเท่านั้น

“ผักที่ปลูกส่งขาย ก็จะเป็นพวกพริก มะเขือเปราะ ตะไคร้ มันม่วงญี่ปุ่น เพราะพื้นที่ในไร่เยอะมากจึงไม่ได้ทําเป็นสวนผักทั้งหมด และมีต้นไผ่ที่ไม่ได้ปลูกเอง คือซื้อที่แล้วมีต้นไผ่ติดอยู่กับที่ดินด้วย เป็นความโชคดีมาก ๆ โดยตอนนั้นเพื่อนสามีจะไถกอไผ่ทิ้ง เพราะฝรั่งไม่รู้จักการกินหน่อไม้ ไม่รู้ว่าหน่อไม้มันกินได้ ทีนี้ก็ลามไปทั่ว ออกนอกบริเวณแถวนั้น คือไม่สามารถทําอย่างอื่นได้เลย เพราะรากชอนไชไปทั่ว บีก็มานั่งคิดว่า เอ๊ะ…เรากินคนเดียวก็คงไม่หมด แถมลำไผ่ก็สวยมาก เหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น ก็มานั่งคิดว่าจะจัดการยังไงให้เกิดประโยชน์ที่สุด”

“ข้าวหลาม” ก็มี…

บีบอกต่อไปว่า หน่อไม้สด จากต้นไผ่แบบนี้ที่อเมริกาหายากมาก เพราะไม่ใช่ทุกรัฐจะปลูกได้ เธอจึงเริ่มต้นโพสต์ขายหน่อไม้สดก่อน ซึ่งหลังลงโพสต์ไปปุ๊บ ก็มีกระแสตอบรับทันที มีข้อความรัว ๆ เข้ามาเต็มเลย ซึ่งเธอก็ไม่รอช้า รีบแพ็คหน่อไม้สดส่งตามออเดอร์ทันที แต่ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ ตัดปุ๊บแพ็คส่งทันที เพราะคิดว่าคนที่ซื้ออยากได้หน่อไม้สด ๆ แต่ฟีดแบ็กที่กลับมาพังมาก เพราะหน่อไม้เน่าหมด เนื่องจากหน่อไม้คายน้ำออกมา แถมกล่องพัสดุก็เปื่อย จนโดนเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ตำหนิว่าจะส่งของสดแบบนี้ไม่ได้ หนำซ้ำต้องรับผิดชอบโอนเงินคืนลูกค้า และต้องเสียค่าส่งพัสดุเองทั้งหมด ซึ่งตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 40,000 กว่าบาท ทำให้กลับมานั่งคิดว่าจะทำต่อไหม จะทำอย่างไร แต่ก็คิดไม่ออก ทำให้ในปีนั้นจึงไม่ได้ขายอีก

“ไส้กรอก” ก็มา

“ก็ค่อย ๆ หาวิธีที่จะทำให้หน่อไม้แพ็คขายได้ ก็มาคิดว่าระยะเวลาจัดส่งอยู่ที่ 4 วัน เลยลองนำหน่อไม้สดที่เก็บมาทิ้งไว้ 1 คืน ให้คายน้ำ จากนั้นค่อยแพ็คพัสดุ โดยก่อนแพ็คก็จะรองด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ และใช้เจลรักษาความเย็นกับห่อฟอยล์ด้วย ปรากฏสำเร็จ เพราะหน่อไม่ไม่เน่า แม้การจัดส่งจะเลทไปบ้าง แลกกับสินค้ายังดีก็ต้องยอม พอแก้ปัญหาสำเร็จ ทีนี้ก็เลยเก็บขายกันสนุกเลย เรียกว่าไม่พอขายทีเดียว” บีเล่าให้ฟังพร้อมรอยยิ้ม และเธอยังเล่าอีกว่า หลังสินค้าอย่างหน่อไม้สำเร็จ เธอก็มาคิดว่าจะทำยังไงดีกับต้นไผ่ที่ตัด เพราะลำไผ่สวยและรูปทรงดีมาก ก็เลยลองตัดเอามาทำ ข้าวหลาม ดู ปรากฏเวิร์กมาก ๆ เพราะเยื่อไผ่ติดข้าวเหนียวดี ซึ่งเสน่ห์ของข้าวหลามคือตรงนี้ เธอจึงตัดสินใจเปิดขาย กระบอกไม้ไผ่ เพื่อนำไปทำข้าวหลาม แต่ก็มีโจทย์ให้คิดต่อว่า จะทํายังไงให้คนไทยในอเมริกาเข้าถึงและทำได้

“ตอนนั้นก็ยังไม่โพสต์ขายนะ เพราะที่อเมริกาเขาไม่ให้เผาข้างนอกบ้าน บีก็คิดและลองหาข้อมูลการเผาข้าวหลามในเตาอบ คือไม่ต้องออกไปเผาข้างนอก จนพบวิธีแล้ว เวลาที่ลูกค้าซื้อกระบอกไม้ไผ่ไปก็พรินต์สูตรวิธีทํา วิธีอบ วิธีแกะข้าวออกจากกระบอกไม้ไผ่ ส่งไปให้ลูกค้าด้วย และยังอัดคลิปวิดีโอสอนวิธีทำ ปรากฏกลายเป็นสินค้าขายดีไม่แพ้หน่อไม้สด จนต้องตัดต้นไผ่กันเหนื่อย เพราะออเดอร์เข้ามาทะลักล้นมาก ซึ่งคนตัดคือตัวบีเอง เพราะเราจะรู้ว่าขนาดไหนที่เหมาะนำมาทำกระบอกข้าวหลาม ส่วนสามีจะเป็นคนดึงออกจากกอ ผลตอบรับดีมาก ๆ เพราะบางคนก็สั่งซื้อไปเผาข้าวหลามขายตามตลาดวัดไทยในอเมริกา บางคนก็โทรฯ มาขอบคุณว่าอยู่อเมริกามา 20 ปี เพิ่งได้กินข้าวหลามแบบไทยแท้ ๆ ก็วันนี้ ทำให้บีดีใจมาก ๆ ที่ทำให้คนไทยหายคิดถึงบ้านเกิดได้” เธอกล่าว

“สามีชาวอเมริกัน” ที่ช่วยสานฝันของบี

พร้อมกับเล่าขำ ๆ ให้ฟังด้วยว่า สามีของบีงงเป็นไก่ตาแตก หลังสินค้าขายดี ซึ่งเวลาที่ไปส่งพัสดุที่ไปรษณีย์ เธอต้องแบกกล่องไปประมาณร้อยกว่ากล่อง และก็ทำให้ฝรั่งคนหนึ่งสงสัย จึงถามว่าเธอทําธุรกิจอะไร พอรู้ว่าเธอขายกระบอกไม้ไผ่ทําข้าวหลาม ฝรั่งก็บอกว่ามีต้นไผ่ที่บ้านเยอะมาก และเขาอยากกําจัดมัน สรุปเธอก็ได้ไม้ไผ่มาฟรี ๆ แค่ลงแรงไปตัดเท่านั้น แต่ทั้งนี้ บีบอกว่าการขายหน่อไม้และกระบอกไม่ไผ่แม้จะรายได้ดี แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอาชีพหลัก เพราะพอถึงหน้าร้อน อากาศจะร้อนมาก ๆ จนออกไปตัดไม่ไหว ทำให้ต้องหันมา ปลูกผัก แทน และก็มีสินค้าอื่น ๆ ที่ทำขายด้วย มีขนม ทาร์ตสับปะรด กับ คุกกี้ ด้วย แต่จะทำขายเป็นช่วง ๆ โดยเฉพาะเทศกาลคริสต์มาสจะขายดีที่สุด ขายดีถล่มทลายจนสามีต้องหยุดงานมาช่วยกวนไส้ขนม

บียังพูดถึงชีวิตเธอว่า มองย้อนไป เธอมองว่าชีวิตตัวเองมีสีสันดี แม้จะพลิกผันมาก จากอาชีพสถาปนิก เป็นครู จนมาเป็นชาวสวนถึงอเมริกา โดยเธอรู้สึกสนุกกับการได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ อาจเพราะเป็นคนไม่ค่อยชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เดิม ๆ และเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว ได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ขอให้ได้ลงมือทำก่อน ซึ่งเธอบอกว่า โชคดีมากที่สามีซับพอร์ตตลอด เช่น เธอบอกจะทำอันนี้ สามีก็จะโอเคด้วยทุกครั้ง… “จะเรียกว่าบีโชคดีที่ได้เจอคนดีก็ได้ (ยิ้มเขิน) อย่างแค่เปรยว่าอยากปลูกมันม่วงญี่ปุ่น วันรุ่งขึ้นสามีก็ไปไถดินให้เสร็จ (หัวเราะ) แล้วนางก็คิดต่อว่าจะต้องใช้น้ำบาดาลนะ ก็ขับรถไปซื้ออุปกรณ์ทุกอย่างมาทำ จริง ๆ บีก็เคยถามนางนะคะว่าเบื่อไหม นางก็บอกว่าไม่ แต่ชอบ เพราะได้ทำอะไร ๆ ในสไตล์ผู้ชายทำ”

ทั้งนี้ “บี-สมฤดี” สาว จ.สกลนคร ประเทศไทย ที่วันนี้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองบอร์ดวิน รัฐมิสซิสซิปปี ประเทศสหรัฐอเมริกา ยังบอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” สรุปความได้ว่าตอนนี้เธอได้ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ในแบบที่ฝันไว้แล้ว… “ได้ปลูกผักเลี้ยงสัตว์ไว้กินเองในครอบครัว และได้นำผลผลิตแบบไทย ๆ แบ่งปันเพื่อนบ้านอเมริกัน ซึ่งถ้าจะให้นิยามชีวิตตอนนี้ ก็ต้องบอกว่า…สุขแบบจุก ๆ…สุขที่สุด”.

‘เกินคาดสุด ๆ’ ยัน ‘ไม้ปิ้งไก่’

“บี-สมฤดี แก้วมณีวงศ์” เธอยังฉายภาพธุรกิจที่ทำด้วยว่า อยู่ที่อเมริกา ขายหน่อไม้และกระบอกไม้ไผ่ทำข้าวหลามมาประมาณ 3 ปี โพสต์ขายออนไลน์แบบเหมารวมค่าจัดส่ง โดย “กระบอกไม้ไผ่” ถ้าเป็นกล่องกลาง ที่มีไม้ไผ่ 16-20 กระบอก ขายราคา 38.40 ดอลลาร์ ถ้ากล่องใหญ่ 21-30 กระบอก ราคา 52 ดอลลาร์ ส่วน “หน่อไม้” นั้นจะขายทั้งปี แต่ถ้าช่วงไหนที่อากาศร้อน ฝนตก หนาว หรือหิมะตก หรือติดธุระอะไร ก็จะแจ้งลูกค้าให้ทราบก่อน ซึ่งเธอยังบอกว่า… “บีจะขายส่งไปทุกรัฐในอเมริกาเลย แม้แต่ไกล ๆ อย่างอลาสกา และฮาวาย ก็มีคนสั่งซื้อสินค้าของบี เรียกว่าผลตอบรับดีเกินคาดสุด ๆ เลยค่ะ ถามว่าลูกค้าคือใคร ลูกค้า 90% ก็เป็นคนไทยในอเมริกา ส่วนอีก 10% เป็นคนเอเชียที่อาศัยอยู่ในอเมริกาค่ะ ลูกค้าที่สั่งกระบอกไม้ไผ่ไป ส่วนมากก็จะทำเป็นข้าวหลาม ก็จะมีข้าวหลามแบบปกติ แล้วก็ข้าวหลามแบบช็อตค่ะ และยังมีร้านเอเชียที่สั่งของไปขายประจำด้วยนะ หรือบางทีก็มีการสั่งซื้อไปตัดทำเป็นไม้ปิ้งไก่ด้วยค่ะ”.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน