อีกทั้งยังมีเรื่องประเดประดังเข้ามาอีกถึง 614 เรื่อง เล่นเอากกต.ต้องใส่เกียร์ถอยขอขยับไทม์ไลน์การประกาศรับรองผลสมาชิกวุฒิสภาไปก่อนยังไม่มีกำหนดว่าจะประกาศได้เมื่อไหร่
เพราะสว.สอบตกแห่ร้องกกต.ให้สอบความผิดปกติต่างๆ รวมถึงคุณสมบัติที่มาของผู้สมัครด๊อกเตอร์เก๊ โดยเฉพาะประเด็นฮั้ว ล่าสุดกลุ่มอดีตผู้สมัคร สว.รวมตัวทยอยไปยื่นร้องต่อศาลปกครองและ กกต.ขอให้ระงับการประกาศรับรองผลเลือกสว.ในวันที่ 3 ก.ค.ออกไปก่อนและใช้อำนาจสั่งให้มีการนับคะแนนใหม่ ขณะเดียวกันก็ไปยื่นร้องผู้ตรวจการให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกสว.เป็นโมฆะ
แต่มีสัญญาณจากสว.ชุดลายพราง ออกมาว่า กกต.เตรียมประกาศรับรองผลสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 7 กรกฎาคมนี้ เรียกว่าปล่อยผีเข้าสภาสูงไปก่อน แต่ระหว่างนี้กกต.ดึงเวลาขอลำดับเรื่องร้องเรียนก็ทำไปตามพิธีกรรมเท่านั้น ถ้ากกต.เร่งประกาศก็จะโดนมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ภาพรวมสว.ชุดนี้ มีความชัดเจนว่า มาจากการจัดตั้งโดยสายสีน้ำเงินที่หลุดโผเข้ามาได้กว่า100 คน ส่วนสว.สายอิสระมาได้แค่ 37 คน เท่ากับว่าคณะก้าวหน้า ที่คอยปั่นคะแนนสายสีส้มไปไม่ถึงฝันตามเป้าหมาย ไม่สามารถเข้าไปคุมเกมในสภาสูงได้ ดีลอำนาจตกไปอยู่กับสายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม
งานนี้ต้องรอดูว่ากกต.ว่าจะสามารถประกาศได้เมื่อไหร่ เพราะช่วงนี้ก็ถือว่าขาข้างหนึ่งของกกต.ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว เพราะแรงกดดันหลั่งไหลไปที่กกต.มีทั้งให้เดินหน้าประกาศผลรับรองสว.ไปก่อนแล้วสอยที่หลัง และให้โล๊ะการเลือกสว.ครั้งนี้และให้มีการเลือกตั้งใหม่
ถือเป็นทางสองแพร่งที่กกต. ต้องตัดสินใจ เพราะตอนนี้ขาข้างหนึ่งของ 7 เสือกกต.ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว ดังนั้นการตัดสินใจหลังจากนี้ จะเป็นการก้าวขาเข้าไปอีกข้างหรือจะชักขาออกมาจากคุก
มาถึงตอนนี้สว.กลุ่มอิสระที่เชียร์ให้กกต.ปล่อยผีไปก่อนแล้วมาสอยที่หลัง ถ้ากกต.ปล่อยให้ได้เข้าไปทำหน้าที่จริงๆ ก็ต้องวางยุทธศาสตร์การทำงานให้ทันเกม เพราะอำนาจในมือของสภาสูงสามารถชี้เป็นชี้ตายประเทศได้
นอกจากทำงานด้านนิติบัญญัติ กลั่นกรองกฎหมาย ที่ขณะนี้ก็มีวาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การทำประชามติ รวมทั้ง ติดตามตรวจสอบฝ่ายบริหารที่คอยขย่มรัฐบาลได้ อีกทั้งยังสามารถเห็นชอบบุคคลที่เสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระที่มีอำนาจให้คุณให้โทษนักการเมืองได้
ภาพที่จะได้เห็นต่อไปเปรียบเสมือนภาพสภาผู้แทนราษฎรย่อมๆ ที่เป็นการแบ่งเป็นฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล และโอกาสที่จะเกิดงูเห่าเลื้อยไปเลื้อยมาได้เช่นกัน เป็นเรื่องที่ต้องจับตาสว. เหล่านี้ว่าจะทำเพื่อประโยชน์ ของใคร
กกต.งานเข้าไม่หยุดนอกจากยังมีปัญหาว้าวุ่นอยู่กับการประกาศสว.ได้หรือไม่ ยังมีเรื่องต้องกุมขมับจากผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี ที่ “ชาญ พงษ์เพชร” ผู้สมัครจากค่ายพรรคเพื่อไทยชนะ “บิ๊กแจ๊ส” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” เข้ามาด้วย คะแนนเสียง 203,010 คะแนน ชนะแบบสูสีทิ้งห่างเพียงแค่ 1,969 คะแนน
แต่กลับต้องมาเจอ 2 คดีเก่าพันขาที่ต้องทำให้ “ชาญ” หยุดปฏิบัติหน้าที่ คดีแรก คือ คดีทุจริตในการจัดซื้อถุงยังชีพ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยในปี 2554 สมัยที่“ชาญ”ดำรงตำแหน่งเป็นนายกอบจ.ปทุมธานี ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลเมื่อปี 2555 ว่ามีความผิด และส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนศาล และมีการนัดไต่สวนสืบคดีช่วงกลางเดือน ก.ค.นี้
นอกจากนี้ยังมีคดีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจพบการตั้งงบประมาณจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายในราคาที่สูงเกินกว่าจริง เมื่อช่วงปี 2555-2556 ยุคที่“ชาญ”เป็นนายกอบจ.ปทุมธานีเช่นกัน โดยสตง.ส่งเรื่องให้ป.ป.ช.รับไปสอบสวนต่อ แต่ยังไม่สรุปผลหรือชี้มูลใดๆ
ทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงข้อกฎหมายที่เห็นไม่ตรงกันโดยพรรคเพื่อไทยยืนกราน ว่า กรณีคำสั่งที่ศาลเคยสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่ผูกพันกับครั้งนี้และการที่ “ชาญ”จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่หลังจากได้รับเลือกให้เป็นนายกฯอบจ.ครั้งนี้ก็ควรจะให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ขณะที่มหาดไทยก็เคลมว่าเป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด บทสรุปก็อยู่ที่กกต.จะประกาศรับรองผลให้ “ชาญ”เป็นนายกฯอบจ.หรือไม่
แต่ก็เจอเสียงเรียกร้องให้ “ชาญ” แสดงสปริตลาออกและให้พรรคเพื่อไทยขอโทษแสดงความรับผิดชอบ และหากว่าสุดท้ายแล้ว “ชาญ” ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ ก็จะเป็น บูมเมอแรงย้อนมาที่พรรคเพื่อไทยที่ฉุดกระแสลงมาอีก ถือว่าเป็นการเสียรังวัด
ขณะที่“นายกฯนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ต้องอยู่ในสภาวะวิ่งสู้ชีวิต แต่เจอชีวิตสู้กลับ จะเห็นได้ว่า “นายกฯเศรษฐา” ยังคงต้องใช้ วิถีชีวิตชีพจรลงเท้าเดินสายลงพื้นที่ตั้งแต่ภาคเหนือไปจนพาคณะรัฐมนตรี (ครม.)ไปประชุมครม.นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ที่ภาคอีสาน
งวดนี้นอกจากจะวางยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัดยังเดินหน้าลุยปราบยาเสพติดด้วยการสั่งตรวจฉี่ในกลุ่มเสี่ยงทุกพื้นที่ทุกหมู่บ้านหวังเรียกเรทติ้ง
แต่เจอชีวิตสู้กลับเพราะผลสำรวจความคิดเห็นของนิด้าโพลออกมายังสู้ “พ่อทิม” “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ไม่ได้ ตกไปอยู่อันดับที่3 เพราะสาเหตุคดีพันขา คำสัญญาพันคอ ลงพื้นที่ทีไรก็มีคนทวงเงินหมื่นดิจิตอลวอล์เล็ต คนโวยวายว่าของแพงไม่ได้มีเงินในกระเป๋าเหมือนที่เคยได้ให้คำสัญญาสมัยหาเสียงเลือกตั้ง
หันมาดูสภาพเศรษฐกิจตลาดหุ้นร่วงวูบรายวัน ธนาคารโลก หั่นจีดีพีไทยเหลือแค่ 2.4% พร้อมเป็นห่วงหนี้สาธารณะที่มี แนวโน้มพุ่งสูงขึ้นยังไม่รวมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชนสามสถาบันทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานะทางการเงินและหนี้ครัวเรือนที่ส่งผลต่อ สถานการณ์ท่องเที่ยวภายในประเทศพบว่าประชาชน 58% มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสถานการณ์ก่อนโควิดและกว่า 80% มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นบางรายถึงขนาดมีรายได้ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้ เป็นเรื่องเขย่าขวัญของคนไทยที่หนักหน่วงแล้วยังมีคดีพันขาเป็นตัวกระตุกดัชนีตลาดหุ้น
ที่ล่าสุด “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพลาน รองผบ.ตร.บุก ไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) ร้องให้สอบ “นายกฯเศรษฐา”กรณีตั้ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผบ.ตร. และยังมีคดี 40 สว.ลายพราง ยื่นถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากการแต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้ความเชื่อมั่นสั่นคลอน มีการถามหาตัวบุคคลที่เหมาะสมมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป แต่ก็ยังหาใครไม่ได้ เพราะ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเองเจอ “คุณแม่” พจมาน มาดามพงษ์ ยังขอร้องให้ใจเย็นๆไว้ก่อน
ขณะที่ “อนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ที่พาพลพรรคภูมิใจไทยใส่เสื้อเหลืองตบเท้าเข้าประชุมสภาให้เห็นกันชัดๆว่าอยู่ในขั้วอนุรักษ์นิยมจ๋า ก็ยังแบ่งรับแบ่งสู้
จึงต้องมาลุ้นกันว่าในเดือนกันยายนที่ศาลรัฐธรรมนูญ เคยระบุไทม์ไลน์ในการตัดสินคดี “นายกฯเศรษฐา”และ“คดียุบพรรคก้าวไกล” ผลออกมาจะเขย่ากระดานการเมืองให้สั่นไหวได้กี่ริกเตอร์
งานนี้ “พิธา” วิ่งสู้ฟัดตั้งโต๊ะแถลง ถล่ม กกต.สร้างสองมาตรฐาน ยึดมาตรา 92 ขึ้นทางด่วนชงยุบก้าวไกลไม่เปิดโอกาสให้พรรคก้าวไกลชี้แจงเป็นกระบวนการไม่ชอบ
ส่วนพลพรรคก้าวไกล “ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานวิปร่วมฝ่ายค้าน เครื่องร้อน ออกมาขู่ทันควันเปิดสภารอบนี้รัฐบาลเจอศึกซักฟอกแน่ และครั้งนี้ฝ่ายค้านจะทำหน้าที่อย่างเข้มข้นขึ้น เพราะปีที่ผ่านมารัฐบาลอาจจะดำเนินการ ในส่วนของงบประมาณ และนโยบายล่าช้า เพราะอาจเป็นผลมาจากรัฐบาลชุดก่อน แต่ครั้งนี้ถือว่ารัฐบาล ทำหน้าที่บริหารงบประมาณอย่างเต็มตัว การทำหน้าที่จึงต้องมีการตรวจสอบการทำหน้าที่ให้หนักขึ้น รวมถึงการติดตาม การผลักดันนโยบายของรัฐบาล ว่าได้ทำตามที่ให้คำมั่นไว้กับประชาชนหรือไม่
ทั้งหมดถือเป็นฉากร้อนๆการเมืองที่ต้องจับตา.