หนึ่งในเกมที่คลาสสิคที่สุดตลอดกาลของฟุตบอลยูโร คือ นัดชิงชนะเลิศ “ยูโร 1992” ที่สวีเดน

มันเป็นการเจอกันของ “ม้ามืด” ที่ตกรอบคัดเลือกไปแล้วอย่าง เดนมาร์ก กับ ทีมเต็งจ๋าที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่าง เยอรมนี

ผลสุดท้าย จบลงอย่างไร คงไม่ต้องให้บอก “โคนม” สร้าง “เทพนิยายเดนส์” พลิกล็อก เอาชนะ “อินทรีเหล็ก” 2-0

ผงาดคว้าแชมป์ยูโรครั้งแรก และครั้งเดียว (จนถึงตอนนี้) ไปครองแบบช็อกคนทั้งโลก

แม้ว่าหลังจากนั้น ทั้ง 2 ชาติ จะเจอกันอีกบ้างประปราย และ เยอรมนี มาเอาคืนได้ในยูโร 2012 ที่โปแลนด์-ยูเครน ซึ่งทั้ง 2 ทีมอยู่กลุ่มเดียวกัน และ เยอรมนี ชนะ 2-1 ส่งให้ เดนมาร์ก ตกรอบแรก

แต่รอยแผลจากนัดชิงชนะเลิศ ที่โกเตนเบิร์ก ยังไม่ลบเลือนไปจากแฟนบอลเมืองเบียร์

วันนี้ “อินทรีเหล็ก” จะมีโอกาสได้ถอนแค้นให้สาสมใจอีกครั้ง เมื่อโชคชะตาฟ้าลิขิตให้มาเจอ เดนมาร์ก ในรอบ 16 ทีม ยูโร 2024

ซึ่งเป็นการเตะแบบ “น็อกเอาต์” ที่ใครแพ้ จะตกรอบทันที

เยอรมนี จะถอนแค้นได้ หรือ เดนมาร์ก จะสร้างเทพนิยายอีกครั้ง ติดตามกันให้ดี

ฟุตบอลยูโร 2024 รอบ 16 ทีม

เยอรมนี – เดนมาร์ก

วันที่: เสาร์ที่ 29 มิถุนายน 2567

เวลา: 02.00 น.

สนาม: เบเฟาเบ สตาดิโอน, ดอร์ตมุนด์

ถ่ายทอดสด: พีพีทีวี เอชดี 36, ทรู พรีเมียร์ 3

Julian Nagelsmann

ทีมชาติเยอรมนี
“อินทรีเหล็ก” เยอรมนี เจ้าภาพ แชมป์ 3 สมัย โชว์ฟอร์มแข็งแกร่งในรอบแรก ประเดิมด้วยการถล่ม สกอตแลนด์ 5-1, ชนะ ฮังการี 2-0 และเสมอ สวิตเซอร์แลด์ 1-1 เก็บได้ 7 คะแนน ยิงไปถึง 8 ประตู เสียแค่ 2 ประตู เข้ารอบสบายๆในฐานะแชมป์กลุ่ม A

ยูเลียน นาเกลส์มันน์ กุนซือหนุ่ม จำเป็นต้องเปลี่ยนผู้เล่นอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง เมื่อ โจนาธาน ทาห์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ติดโทษแบน ขณะที่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ คู่เซ็นเตอร์ ก็เจ็บต้นขา ต้องเช็กอาการอีกครั้ง แต่ที่เหลือพร้อมลงเล่น และน่าจะยึดชุดเดิมเป็นหลัก

Toni Kroos

นายทวารใช้ มานูเอล นอยเออร์ แดนหลังส่ง นิโก ชลอตเตอร์เบค ของดอร์ตมุนด์ ลงมายืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ วัลเดอมาร์ แอนตัน จากสตุตการ์ต ถ้าหาก รือดิเกอร์ ไม่ฟิต โดยมีแบ๊ก 2 ฝั่งเป็น โจชัว คิมมิช กับ มักซิมิเลียน มิตเทลสตัดท์ ส่วนแดนกลาง โทนี โครส คุมเกมกับ โรเบิร์ต อันดริช แล้วเกมรุกใช้ จามาล มูเซียลา, อิลคาย กุนโดกัน, ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ทำเกมหลัง ไค ฮาแวร์ตซ์ กองหน้าตัวเป้า

ทีมชาติเดนมาร์ก
“โคนม” เดนมาร์ก แชมป์ 1 สมัย เมื่อปี 1992 เสมอรวดในรอบแรก ไล่ตั้งแต่ เสมอ สโลวีเนีย 1-1, เสมอ อังกฤษ 1-1 และเสมอ เซอร์เบีย 0-0 เข้ารอบในฐานะรองแชมป์กลุ่ม C แต่เกมนี้ แคสเปอร์ ฮูลมันด์ กุนซือของทีม หมดสิทธิใช้งาน มอร์เทน ฮูลมันด์ มิดฟิลด์ตัวเก่ง ที่ติดโทษแบน แต่ที่เหลือพร้อมลงเล่น และน่าจะจัดทัพใหญ่เข้าสู้แน่นอน

นายทวารเป็น แคสเปอร์ ชไมเคิล กองหลัง 3 คนประกอบด้วย ยานนิค เวสเตอร์การ์ด, โจอาคิม แอนเดอร์เซน และ อันเดรียส คริสเตนเซน โดยมีวิงแบ๊ก 2 ข้างเป็น อเล็กซานเดอร์ บาห์ กับ โจอาคิม เมห์เล พร้อมใส่ ปิแอร์ เอมิล ฮอยจ์เบีย คุมเกมตรงกลางร่วมกับ โธมัส เดอลานีย์ ที่หายป่วยแล้ว ส่วนเกมรุกมี คริสเตียน อีริคเซน เป็นเพลย์เมคเกอร์ ทำเกมอยู่หลัง โยนาส วินด์ และ ราสมุน ฮอยจ์ลุนด์

Christian Eriksen

ความน่าจะเป็นของเกม
สถิติการเจอกัน เยอรมนี เหนือกว่าชัดเจน โดยชนะ 15 เสมอ 5 และเดนมาร์ก ชนะ 8 นัด ขณะที่ในยูโร เจอกันมา 3 ครั้ง 1988 เยอรมนี ชนะ 2-0, 1992 เดนมาร์ก ชนะ 2-0 และล่าสุด 2012 เยอรมนี ชนะ 2-1 โดยทีมอินทรีเหล็กชุดนั้นยังมี นอยเออร์, โครส, โธมัส มุลเลอร์ และ กุนโดกัน ที่ยังเล่นในชุดนี้ด้วย

เจอกันรอบนี้ ต้องยอมรับว่า อินทรีเหล็ก เหนือกว่าทุกอย่าง ทั้งการเล่นในบ้าน, ตัวผู้เล่น และฟอร์มการเล่น จึงน่าจะเปิดเกมรุกบุกเข้าใส่ตามสไตล์ นาเกลส์มันน์ โดยที่ เดนมาร์ก ต้องเน้นเหนียวแน่น แล้วรอสวนกลับ ซึ่งดูแล้ว ไม่น่าจะเอาอยู่ เพราะเยอรมนีชุดนี้กำลังห้าว และอาวุธเยอะ แม้แดนหลังจะยังมีช่องโหว่ แต่เกมรุกจะทำให้เจ้าภาพคว้าชัย และผ่านเข้ารอบต่อไปได้ไม่ยาก

ผลที่คาด
เยอรมนี ชนะ เดนมาร์ก 3-1

Jamal Musiala