หลังอดีตผู้บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ถูกกล่าวหาใน “คดีโกงหุ้นสตาร์ค” ได้ถูกเจ้าหน้าที่เดีเอสไอ ได้เข้าควบคุมตัว เมื่อเช้าวันที่ 23 มิ.ย.67 ที่ผ่านมา หลังจากหลบหนีไปอยู่ที่ดูไบ นานเกือบปี

โดยก่อนหน้านี้…เจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ได้เข้าควบคุมตัวอดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ บมจ.สตาร์คฯ ไปแล้วเช่นกัน แม้อดีตผู้บริหารรายนี้ ได้ใช้ “ปัญหาสุขภาพ” เพื่อไม่ต้อง “นอนคุก” ก็ตาม

ที่ผ่านมา ดีเอสไอ ได้แจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหารวม 11 รายในความผิดตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ฐานตกแต่งบัญชีและงบการเงิน และฐานข้อโกงประชาชน

นอกจากนี้ ยังรวมถึงความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 ส่วนผู้ที่หลบหนีไปต่างประเทศ ก็ถูกหมายจับที่หลบหนีไปต่างประเทศเพิ่มเติม

ต้องยอมรับว่า… คดีโกงหุ้นสตาร์ค นี้ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดหุ้นไทยไม่น้อย จนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หุ้นไทยเริ่ม หมดเสน่ห์” ไปเรื่อย ๆ

เพราะ!! ไม่ใช่มีเพียงเหตุนี้เท่านั้น แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของการ จ่ายคืนหุ้นกู้” ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกหลายรายที่เข้ามาผสมโรง

แม้จนถึงเวลานี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะออกสารพัดมาตรการมา “ล้อมคอก” ไม่ให้ตลาดหุ้นไทยจมดิ่งไปมากกว่านี้ แต่!! ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า…ด้วยปัญหา “เศรษฐกิจ” ที่ยังไม่สามารถพลิกฟื้นได้อย่างเต็มที่ ตลาดหุ้นไทย ก็ไม่มี “มนต์ขลัง” ที่จะสร้างความ “ใจฟู” ให้กับนักลงทุนได้เหมือนเก่าก่อน

ตั้งแต่ปลายปี 66 ที่ผ่านมา จนถึงเวลานี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงไปแล้วกว่า 100 จุด ขณะที่ในครึ่งปีแรกของปี 67 นี้ ต่างชาติทิ้งหุ้นไปแล้วถึง106,681.19ล้านบาท

บล.กสิกรไทย บอกว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าต่างชาติได้ขายหุ้นไทยไปแล้วกว่า 1ล้านล้านบาททีเดียว โดยสาเหตุก็มาจาก เรื่องของการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่ยังติดกับดักการเติบโตอยู่ที่ 2-2.5%

นอกจากนี้ที่กำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังอยู่ที่ 90-95 เท่า หรือคิดเป็นความสามารถในการทำกำไรไม่เกิน 25,000 ล้านบาทต่อปี

ขณะเดียวกันยังมีเรื่องของราคาหุ้น ในตลาดหุ้นไทยยังอยู่เพียงแค่ 13 เท่า ยังเติบโตไม่ถึง 20 เท่า เหมือนตลาดหุ้นโลกในประเทศที่พัฒนาแล้ว

ที่สำคัญ!! ภาคการเกษตรและภาคการผลิต ของไทย ยังมีขีดความสามารถในการผลิตไม่มากพอ โดยเฉพาะ ข้าว ขณะที่ภาคการผลิตของไทยยังก้าวตามไม่ทันเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

เหนือสิ่งอื่นใดปัญหา การเมือง”ในประเทศที่ไม่นิ่ง จึงกลายเป็นความเสี่ยงในประเทศที่สำคัญ ทำให้บรรดานักลงทุนต่างมอว่าหุ้นไทยยังไม่ฟื้น จนเทขายทำกำไรกันอย่างต่อเนื่อง

ถามว่า? รัฐบาลเห็นปัญหาเหล่านี้มั๊ย? ตอบได้เลยว่า รัฐบาลรู้อยู่เต็มอกอยู่แล้ว แต่ก็อย่าลืมว่า ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองไทย “หมักหมม” กันมานาน

การสางปัญหา จึงไม่ได้หมายความว่าจะทำให้แล้วเสร็จ หรือทำให้ลุล่วงได้ภายในเวลาอันสั้น ไม่ว่ารัฐบาลไหนจะเข้ามาก็ตาม!! เรื่องนี้เป็นความจริงที่ทุกคนปฎิเสธไม่ได้!!

แต่ขณะเดียวกัน ผู้ที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็ไม่สามารถใช้ “ข้ออ้าง” เรื่องเวลา มาแก้ต่างหรือสร้างความเป็นธรรมให้กับตัวเองได้เช่นกัน

หากมุ่งแต่ “ขอเวลา” แล้วเมื่อไหร่? ประเทศไทยจะกลับมายืนอยู่บนเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้!! จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะบอกว่า ทั้งหลายทั้งปวงต้องขึ้นอยู่กับ “ฝีมือ” ที่จะฝ่าฟันแล้วทำให้ชีวิตประชาชนคนไทยอยู่ดีกินดีขึ้น

แม้ในช่วงเกือบหนึ่งปีในการบริหารประเทศของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะมีหลายมาตรการที่ออกมาเพื่อหวังฟื้นเศรษฐกิจ หวังฟื้นกำลังซื้อ

แต่มาตรการเหล่านั้น!! ก็ดูเหมือนว่า ยังไม่สามารถขับเคลื่อน หรือทำหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ จึงทำให้ชาวบ้านชาวช่องเกิดอาการ ผิดหวัง”

อย่างไรก็ตามในสัปดาห์นี้ นายเศรษฐา ได้ประกาศชัดเจนว่าจะออกมาตรการชุดใหญ่ เพื่อให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ ก็ต้องมารอดูกันว่า มาตรการใหม่ครั้งนี้จะว้าว!! จนกระตุก “เชื่อมั่น” ได้แค่ไหน?.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่