ท่ามกลางเทศกาลเดือนไพรด์(Pride) เดือนแห่งความภาคภูมิใจของทุกเพศทุกวัย ปลุกพลังของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ LGBTQIAN+ และคนรุ่นใหม่ ให้ได้มาร่วมงานเฉลิมฉลอง Pride Month 2024” ที่รัฐบาลจัดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ เป็นการฉลองความสำเร็จพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม

แต่ยังกลบความร้อนแรงของปัญหาเศรษฐกิจการเมืองของประเทศไม่ได้ดูจากสภาพเศรษฐกิจ ตัวเลขที่ออกมาต่ำกว่าประมาณการ การจัดเก็บรายได้รัฐบาลต่ำกว่าเป้า 7 เดือนแรกปีงบประมาณ2567 (ต.ค.2566-เม.ย.2567) จัดเก็บรายได้สุทธิ 1.38 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 39,102 ล้านบาทหรือ2.7% และการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษี รวม1.46 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 35,498 ล้านบาทหรือ 2.4 %

เป็นเหตุให้“นายกฯนิด” ต้องเรียกถกครม.เศรษฐกิจและหน่วยงานจัดเก็บภาษีบนตึกไทยคู่ฟ้าแบบด่วนๆปรับทัพมุ่งสู่เป้าหมายให้รายได้ของประเทศเพิ่มมากขึ้น 

ขณะที่การเมืองร้อนแรงขึ้นทุกวัน ตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาลสูตรพิสดาร ของ “รัฐบาลเศรษฐา” มาจนถึงเดือนมิถุนายน บริหารงานมาแค่ 10 เดือน “นายกฯเศรษฐา” ก็มีไทม์ไลน์คดีร้อนๆ ตบเท้าเป็นขบวนพาเหรดมาให้เขย่าเกมอำนาจ ทั้งเรื่องคดีร้าย คดีร้อน รอคว่ำกระดานอำนาจ

เริ่มตั้งแต่ 10 มิ.ย.ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ขีดเส้น “นายกฯเศรษฐา” ยื่นคำชี้แจงกรณี 40 สว.ยื่นถอดถอน การแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่วนศาลรัฐธรรมนูญจะนัดพิจารณาชี้ขาดเร็วหรือช้า ก็ต้องรอการพิจารณาวินิจฉัยในคำชี้แจงของ“นายกฯเศรษฐา”ก่อน

 ถ้าคดีออกมาว่า “นายกฯนิด” ผิดเท่ากับว่า คณะรัฐมนตรีที่มีอยู่ต้องหมดไปต้องมองหาคนเป็นนายกฯกันใหม่ การสลับข้าง เปลี่ยนขั้วอำนาจ มีโอกาสเป็นไปได้

ตามมาด้วยวันที่ 12 มิ.ย.ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล จากที่กกต.ยื่นร้องกรณีอันควรเชื่อ ว่า พรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์ กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขฯ พร้อมออกประกาศปรามสส.พรรคก้าวไกล ว่า  ก่อนศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย คู่กรณีไม่สมควรแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคดีที่เป็นการชี้นำสังคมอันอาจกระทบต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล

หากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคก้าวไกล สส.ต้องพากันหาพรรคใหม่สังกัดภายใน 60 วัน ตาม รธน. มาตรา 101 (10) จะเกิดปรากฏการณ์งูเห่าเลื้อยออกจากรังสีส้มให้เห็น ซึ่งเรื่องนี้แกนนำพรรครู้ดี และรู้ว่า มีดีลลับ ดีลลวงกับใครไว้บ้าง แต่ก็โนสนโนแคร์ เพราะในอดีตก็มีบทเรียนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า งูเห่าที่เลื้อยออกไปจากพรรคไปมีชะตากรรมอย่างไรไปไม่รอด และข้อตกลงที่เคยสัญญาอะไรกันไว้ในเรื่องค่าตอบแทนกันจนป่านนี้ยังได้กันไม่ครบ

งานนี้ “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ออกมา ชี้ว่า คดียุบพรรคจะทำให้พรรค ก้าวไกลอ่อนแรงลงในระยะสั้นเท่านั้น แต่จะเป็นการติดเทอร์โบให้พรรคได้แต้มต่อในแนวคิดและนโยบายแบบก้าวหน้าในระยะยาว แนวคิดแบบก้าวหน้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แนวคิดแบบก้าวหน้า คือ หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อพรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองใดๆ

อีกคดีที่เป็นเกมร้ายการเมืองคือวันที่18 มิ.ย. ก็เป็นคดีมาตรา112 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นัดส่งฟ้องนายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ต่อศาลอาญาในคดีมาตรา112 ที่ก่อนหน้านี้ทางอัยการสูงสุด แถลงไว้ชัด ว่า ไม่ว่า ตัว “ทักษิณ” จะมาหรือไม่มาก็จะมีการสั่งฟ้อง แต่ถ้ามาก็สามารถใช้สิทธิยื่นประกันได้ แต่ถ้าไม่มาตามนัดอัยการสูงสุดก็จะส่งเรื่องไปยังพนักงานสอบสวนให้นำตัวออกหมายจับ “ทักษิณ” มาดำเนินการส่งฟ้อง จะส่งผลเสียต่อพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลเศรษฐา  

นี่ยังไม่รวมคดีที่ค้างอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ที่รอตัดเชือกในเร็วๆนี้ กรณีนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทของรัฐบาล ที่ ป.ป.ช.ได้ส่งข้อเสนอแนะพร้อมความเห็นไปยังคณะรัฐมนตรี ว่า ปัจจุบัน ป.ป.ช.กำลังติดตามงาน ว่า ครม. และรัฐบาลดำเนินการตามข้อเสนอแนะครบถ้วนหรือไม่ ล่าสุด ป.ป.ช.เชิญตัวแทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มาให้ข้อมูล กรณีรัฐบาลเตรียมกู้เงิน ธ.ก.ส.มาใช้ในโครงการนี้ด้วย เพื่อรับทราบข้อมูลข้อเท็จจริงทั้งหมด ยืนยันว่า ป.ป.ช.ยังอยู่ระหว่างการติดตามงานของรัฐบาลในนโยบายนี้อยู่

ส่วนศึก2บิ๊กปทุมวันคดีก็งวดเข้ามาทุกที ทั้งคดีการแต่งตั้ง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)โดยมิชอบ ขณะที่ “บิ๊กต่อ”กับภรรยา ก็ถูกตรวจสอบปมซุกบ้านที่อังกฤษ และปมเงินกู้ 20 ล้านบาทที่นำไปลงทุนแต่ไม่ได้แจ้งต่อป.ป.ช.

ตามด้วยคดี “บิ๊กโจ๊ก”  พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.ในความผิดฐานสมคบกันกระทำความผิดฐานฟอกเงินและเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน ในคดีเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน

นอกจากนี้ยังมีเกมร้อน เกมร้าย กับคิวล้มกระดานเลือกส.ว.ที่ล่าสุด สว.รักษาการ ดาหน้าออกมาวิเคราะห์มีเกมคว่ำเลือกสว.มีการพูดออกมาเป็นฉากๆ ทั้ง เสรี สุวรรณภานนท์  วันชัย สอนศิริ ชี้ชัดว่า มีขบวนการ 3 ล้ม ที่จะส่งผลกระทบกับบ้านเมืองและระบอบประชาธิปไตย โดยใช้วิชามารรีเซ็ตอำนาจใหม่ ซึ่งขบวนการเป็นการรวมการเฉพาะกิจเหมือนโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจของคณะบุคคล 3 กลุ่ม 3 พวก คือ 1. พวกที่ผิดหวัง อกหักทางการเมือง 2. พวกที่เกลียดทักษิณ เข้ากระดูกดำ และ 3. พวกเผด็จการ นิยมการปฏิวัติ รัฐประหาร เพื่อกระทำการ 3 ล้มให้เกิดขึ้นได้ในเร็ววัน

ล้มแรกคือ “ล้มรัฐบาลเศรษฐา” เพื่อจะได้มีการเซ็ตซีโร่อำนาจ เริ่มนับหนึ่งใหม่ ตัวเองจะได้เข้ามามีอำนาจครั้งใหม่ ล้มที่สอง “ยุบก้าวไกล” ถ้ายุบก้าวไกลได้ พรรคจะแตก สส.ต้องหาที่อยู่ใหม่ ตอนนั้นพรรคตัวเองหรือพรรคพวกของตัวเองจะตามช้อนต้อนเข้าคอก ทำให้มีเสียงเพิ่มขึ้น มีอำนาจต่อรองกับอำนาจใหม่  ล้มที่สามคือ “ล้มกระดานการเลือก สว.” ถ้าล้มได้ สว.ชุดเก่ายังอยู่เหมือนเดิม ปฏิบัติภารกิจได้ต่อไป

เห็นได้จากมีบรรดาสายเกรียน ยื่นร้ององค์กรอิสระจนศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับเรื่องตีความ 4 มาตรา ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสว.2561 ได้แก่ มาตรา 36 มาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 หรือไม่ และให้กกต.ยื่นคำชี้แจงโดยให้เวลาเพียง 5 วัน

ทำเอา“เลขาฯกกต.” แสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ต้องออกมาปลุกขวัญกำลังใจ ให้เจ้าหน้าที่ กกต.เตรียมพร้อมรับแรงเสียดทานในการจัดเลือก สว. และเสนอคณะกรรมการกกต.ให้พิจารณาเลื่อนเลือกสว.ระดับอำเภอ ในวันที่ 9 มิ.ย.ออกไปก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย แต่ 7 เสือกกต. เดินหน้าลุยไฟมีมติเอกฉันท์ไม่เลื่อนการเลือกสว.ระดับอำเภอออกไป

ต้องจับตาดูว่ากระบวนการ 3 ล้มใครจะเจอวิบากกรรมและใครจะได้ประโยชน์ แต่ที่แน่ๆ ถ้ามีการคว่ำกระดานเลือกสว.ได้ เท่ากับว่าสว. กลุ่มอำนาจเก่าก็ยังคงต้องรักษาการอยู่เป็นหนามคอยที่รัฐบาล

เมื่อดูตามเหตุการณ์แล้วทุกเหตุการณ์ล้วนแล้วมีความสุ่มเสี่ยงติดกับดักค่ายกลพิสดาร ที่เป็นมรดกคสช.วางหมากข้ามช็อต เขี่ยเกมคว่ำกระดานอำนาจ รอวันพลิกเกม

การเมืองตอนนี้จึงมีข่าวลือข่าวลวง มาเขย่าโมเมนตัมอำนาจ แต่งตั้งศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่อง 40 สว. ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี ก็มีการนั่งจับยามสามตาหาชื่อนายกคนใหม่ จากบัญชีแคนดิเดตนายกฯเดิม

พากันข้ามชื่อ “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่เป็นพรรคแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ด้วยเหตุผลความไม่พร้อม โดยเฉพาะ “อุ๊งอิ๊ง” ยังพรรษาน้อย เลยมีชื่อพรรคร่วมเรียงหน้ากันมาทั้ง “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

แต่จับอาการของพรรคเพื่อไทย หลัง เนติบริกร “วิษณุ เครืองาม” ยอมเข้ามานั่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทำให้ “รัฐบาลเศรษฐา”เกิดความมั่นใจมากขึ้น ว่าโอกาสรอดในชั้นศาลยังพอมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งต้องไปลุ้นกันว่าฝันจะเป็นจริงหรือไม่ 

ขณะที่คดีมาตรา 112 นายใหญ่“ทักษิณ”เบื้องต้นทีมทนายจะสู้คดีโดยอ้างเรื่องการตัดต่อคลิป โดย“อุ๊งอิ๊ง” บอกพ่อมั่นใจ พร้อมออกโรงกำราบสส. เพื่อไทยไม่ให้แตกแถวปิดปากเลิกวิจารณ์การดึง“วิษณุ”มาช่วยแก้คดี ถึงขนาดขู่ว่า หาก “นายกฯเศรษฐา” อยู่ไม่ได้ พรรครัฐบาลอยู่ไม่ได้ สภาก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นอะไรที่สร้างความเข้มแข็งรัฐบาลได้ก็ให้ช่วยกันใครไม่สบายใจอะไรก็สามารถที่จะมาพูดคุยกันได้

เรื่องที่อยู่ในชั้นศาลแล้วทุกเรื่องมีประตูทางออก นอกจาก “นายใหญ่ ทักษิณ”จะสู้คดีในชั้นศาลให้หลุดพ้นบ่วงมาตรา 112 แล้วยังมีช่องของนักนิรโทษกรรมเป็นอีกหนึ่งประตูที่เล็งไว้ในทางออก ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากพรรคร่วมที่อาจกลายเป็นปมร้อนทำให้เกิดความขัดแย้ง นำไปสู่การล่มของ “รัฐบาลเศรษฐา”หรือไม่.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดที่นี่