ทั้งคดีที่อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จากการที่ไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศ เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2558 ที่กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เป็นการกระทำผิดตามป.อาญา มาตรา 112 ที่เป็นโซ่ตรวน มัด “ทักษิณ”

ตามด้วย คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้อง 40 สว. ยื่นร้อง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี  ให้สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี  เหตุตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  ทั้ง ๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า “พิชิต” ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเคยถูกศาลฎีกามีคำสั่ง จำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลกรณีถุงขนม 2 ล้านบาท เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม อย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ พร้อมสั่งให้ “นายกฯเศรษฐา” ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อ ศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15  วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

ต่อด้วยคดีร้อนๆวงการสีกากี ที่เกี่ยวเนื่องกับ “นายกฯนิด” กรณี รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ “บิ๊กโจ๊ก”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ออกจากราชการ เสนอมายัง “นายกฯเศรษฐา” และเรื่องนี้สำนักคณะกรรมการกฤษฎีกามีบันทึกความเห็นกรณีการให้ออกจากราชการไว้ก่อนของ “บิ๊กโจ๊ก” นายกฯ ต้องนำความกราบบังคมทูลให้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง แต่กระบวนการต่างๆ ได้ดำเนินการมาอย่างถูกต้องแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาเผือกร้อนของ “นายกฯเศรษฐา”เช่นกัน

ขณะเดียวกันคดียุบพรรคก้าวไกลก็เข้าสู่จุดคลายแม็ก ถือเป็นชนวนร้อนต้องจับตา สืบเนื่องจากกรณีคำร้องของกกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องกรณีกรณีอันมีหลักฐานอันควรเชื่อว่าพรรคก้าวไกล มีพฤติกรรมกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เมื่อมาดูคดีของ “ทักษิณ” “ทีมอัยการสูงสุด” ได้ตั้งโต๊ะแถลงคำสั่งฟ้อง“ทักษิณ ส่งศาลอาญาฟันผิดมาตรา 112 พ่วง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอม พิวเตอร์  ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆอันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 112 คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ต.ค.19 ข้อ 1 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14 (3) พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2560 มาตรา 8

แต่“ทักษิณ” โชว์เหลี่ยม ไม่มาตามนัดยืนใบรับรองแพทย์อ้างป่วยโควิด ขอเลื่อนไปถึงวันที่ 25 มิ.ย.แต่อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วอนุญาตและนัดฟังคำสั่งฟ้องครั้งใหม่ในวันที่ 18 มิ.ย.เวลา 09.00 น.ก่อนส่งศาลอาญา

ถือเป็นเกมยื้อเวลาเพื่อหาทางปลดโซ่ตรวน เพราะตอนนี้ใครๆก็รู้ว่า “ทักษิณ”คือนักโทษอยู่ระหว่างพักโทษ แต่กลับโนสนโนแคร์ เดินโชว์ตัวเฉิดฉาย เดินสายแบบฉ่ำๆ เป็นนักโทษเทวดา เพราะเหมือนจะได้รับอิสรภาพแบบล้นหลาม ไม่เหมือนนักโทษคนอื่นๆ ไม่สำนึกเลยว่าตัวเองรับโทษอยู่ 

จนใครต่อใครเห็นแนวทางของการฟื้นระบอบทักษิณ ทำเอาหลายฝ่าย โดยเฉพาะขั้วที่เคยโคนระบอบทักษิณ ถึงกับปวดใจ 

เกมนี้จึงเป็นเกมที่หลายคนมองว่าเป็นการสั่งสอน “ทักษิณ” แต่แนวทางของ“ทักษิณ”เองก็เตรียมที่จะไปฟังคำสั่งฟ้องอัยการสูงสุดในวันที่ 18 มิ.ย.ตามนัด จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการตามขั้นตอน รอลุ้นศาลจะให้มีคำสั่งประกันตัวหรือไม่

ถ้าดูบริบทแนวทางคดีมาตรา112 จะเห็นว่า ก่อนหน้าไม่นานหรือแม้กระทั่งล่าสุดที่ “ลูกเกด” น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือ  สส.ปทุมธานี เขต  พรรคก้าวไกล  โดนคดีมาตรา 112 ยังได้รับการประกันตัว

โอกาสนี้เป็นสัญญาณบวกกับ “ทักษิณ” ที่จะกลับไปโดนคดีแบบเท่ห์ๆ ไม่ติดคุกเหมือนเดิม แต่ก็ยังคงต้องเดินหน้าสู้คดีต่อไป

แต่ระหว่างนี้ก็มีช่องทาง รอด คือ การนิรโทษกรรม ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร ที่มี “ชูศักดิ์ ศิรินิล” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นประธาน ที่พยายามผลัดดันให้มาตรา 112 รวมเข้าเป็นคดีการเมืองด้วย

เรื่องนี้ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล น่าจะเห็นไปให้ทิศทางเดียวกัน มีเพียงพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วย

ตอนนี้ดูแนวโน้ม “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” จะเดินหน้าไปได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆมีแนวทางในชั้นกมธ.ศึกษาพิจารณาพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล เห็นด้วยให้นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งโดยรวมคดีมาตรา112 ไปด้วย เห็นแล้วว่าคะแนนน่าจะเกินครึ่งไปอยู่แล้ว แต่อย่าเพิ่งชะล่าใจไป เพราะอย่าลืมว่า ปมร้อนนิรโทษกรรมเคยโค่นรัฐบาลมาแล้ว ถ้าเดินแบบโนสนโนแคร์พลังประชาชน อาจกลายเป็นการปลุกไฟความขัดแย้งรอบใหม่

อย่างไรก็ตามวิบากกรรมของ “รัฐบาลเศรษฐา”ภายใต้ปีกของ “ทักษิณ”ยังมีโซ่ตรวนของ“นายกฯเศรษฐา” ที่กำลังจะกลายเป็นปมร้อนเขย่าเกมการเมือง ดูจากรายชื่อ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็พอรู้มีใครบ้างเป็นสายแข็งปิดประตูการล็อบบี้ จากการเปิดชื่อ 

ที่สำคัญพรรคเพื่อไทย มีจุดอ่อนเรื่องทีมกฎหมาย จึงต้องมาเชิญเนติบริกรอย่าง “อาจารย์ วิษณุ เครืองาม” เข้ามาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ มอบหมาย 5 อำนาจหน้าที่ มาสแกน ขันน็อต ข้าราชการเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการบริหารราชการแผ่นดิน และการขับเคลื่อนนโยบายสำคัญและเร่งด่วนของรัฐบาล เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อให้คำปรึกษา เสนอความเห็น และประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ปิดจุดอ่อนป้องกัน การสะดุดขาตัวเองและนายใหญ่แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้  

หลายฝ่ายมองโซ่ตรวนเรื่องการตั้ง “พิชิต” จะไปถึงขั้นจุดเสี่ยงที่จะกลายเป็นจุดเปลี่ยน นายกฯ หาก“นายกฯเศรษฐา” พลาดพลั้งถูกสอยตกเก้าอี้ต้องเปลี่ยนตัวมองหานายกฯคนต่อไป ของพรรคเพื่อไทย ก็จะเป็น “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่พ่อโดนคดี มาตรา 112 อยู่ ประสบการณ์ยังน้อยไม่แข็งกล้าพอตามรูปเกมต้องเซฟเอาไว้ก่อน ที่เหลือตอนนี้ก็มี “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ซึ่งหวยจะไปออกตรงนั้นหรือไม่

เพราะท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล ยังอยู่ในแถว และต่างรู้ดีว่าสงครามครั้งต่อไปคือ ต้องสู้กับเด็กที่คะแนนกำลังพุ่งไม่หยุด แม้จะมีคดียุบพรรครออยู่แต่ กลับยิ่งโกยใจคนรุ่นใหม่ เพราะการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมา ยังไม่ปรากฏผลที่ชัดเจน “นายกฯเศรษฐา” ยังออกมายอมรับเอง ว่า ผลงานยังไม่เป็นหน้าพอใจของประชาชน

หลังผลโพลสถาบันพระปกเกล้าฯ เปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี : 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566” พบว่า กระแสพรรคก้าวไกลพุ่งกระฉูดกวาด 208 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทยลดฮวบเหลือ 105 ที่นั่ง รวบทั้งสส.แบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ขณะที่คะแนนนิยม “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” พุ่งนำลิ้ว แซง “ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  “อิ๊งค์” แพทองธาร และ “นายกฯเศรษฐา”

ท่ามกลางจีดีพีของประเทศในไตรมาสที่ 1 ปี 67 โตต่ำสุดในอาเซียน จน “นายกฯเศรษฐา” ต้องเรียกประชุมครม.เศรษฐกิจครั้งแรกไปเมื่อวันที่ 27พ.ค. แต่ผลสรุปออกมายังไม่มีอะไรที่จับต้องได้

งานหนักรัฐบาลชุดนี้นอกจากจะต้องสู้งานคดีร้อนๆที่เป็นโซ่ตรวนการเมืองแล้วเป้าหมายหลักอีกหนึ่ง คือ การสร้างผลงานที่ต้องรีบปั่นให้เกิดผลโดยเร็วก่อนวิกฤติศรัทธาจะถาโถมซัดต้นทุนที่เคยมีหายไปไม่เหลือซาก.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดที่นี่