“เพราะทำงานหนักตั้งแต่วัยรุ่น จนไม่มีเวลาดูแลตัวเอง ส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพตั้งแต่อายุไม่มาก จึงจูงมือสามีหันมาออกกำลังกายกัน เพื่อชะลอความเสื่อมถอยให้ร่างกาย จนเกษียณมาก็ยังทำอยู่ พอมาถึงยุคนี้ มองว่า…สื่อโซเชียลมีพลังมาก จึงตัดสินใจเข้าสู่แพลตฟอร์มนี้ โดยหวังใช้ช่องทางนี้ปลุกใจคนรุ่นเดียวกันให้ลุกขึ้นมาออกกำลังดูแลสุขภาพ” เป็น “แรงบันดาลใจ” ที่ทำให้ “คุณป้าตุ๊กตา-ณัฐรดา สุขสุธรรมวงศ์” วัย 63 ปี รักการออกกำลังกาย และเป็นคำบอกเล่าถึงการเข้าสู่เส้นทาง “ดาว TikTok” ซึ่งทาง “ทีมวิถีชีวิต” มีเรื่องราวของคุณป้าท่านนี้มานำเสนอในวันนี้…

หลังจากประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ย่อมมีผลนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ มากมายหลากหลายด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงปัญหาสุขภาพ จึงต้องมีการวางแผนป้องกันปัญหา โดยหนึ่งใน แนวทางที่ช่วยชะลอการเสื่อมถอยของสุขภาพร่างกายในกลุ่มผู้สูงอายุได้ดี…คือ “ออกกำลังกาย” ซึ่งก็มีบทพิสูจน์แล้วว่าการออกกำลังกายที่เหมาะสมและสม่ำเสมอช่วยได้จริง ๆ ไม่เชื่อก็ต้องลองมาดูตัวอย่างกรณี “คุณป้าตุ๊กตา-ณัฐรดา” คนดังในโซเชียลที่ถูกขนานนามว่าเป็น “ดาว TikTok วัยเก๋า” ซึ่งใช้สื่อโซเชียลเป็นช่องทางเพื่อจูงใจให้คนในวัยเดียวกับกับคุณป้านั้นลุกขึ้นมา “ออกกำลังกาย”

คุณป้าตุ๊กตา ปัจจุบันอายุ 63 ปีแล้ว แต่ยังคงดูกระฉับกระเฉงและแข็งแรงมาก เมื่อเทียบกับอีกหลายคนที่อยู่ในวัยเดียวกัน โดยตัวคุณป้า และสามี คือ “ลุงหมอแว่น-ทพ.สมชัย สุขสุธรรมวงศ์” วัย 68 ปี ถูกชาวโซเชียลเรียกขานกันว่า… เป็น “คุณป้า-คุณลุงสายตรอง” จากการที่ทั้งสองคนได้มีการโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับกิจกรรมการออกกำลังกายของทั้งคู่อยู่เสมอ ๆ ในแพลตฟอร์ม TikTok ทั้งการเล่นเวทเทรนนิ่ง โยคะ หรือแม้แต่การเต้น Shuffle Dance ทั้งนี้ ทางคุณป้าเล่าให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า… ช่วงที่กำลังอยู่ในวัยทำงาน ทั้งคุณป้าและคุณลุงต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน จนละเลยการดูแลสุขภาพของตัวเอง ส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพกันตั้งแต่อายุยังไม่มากเท่าไหร่ แต่เพราะไม่อยากจะเป็นภาระของกันและกัน กับไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นภาระลูกหลาน ทำให้คุณป้ากับคุณลุงตัดสินใจลุกขึ้นมาออกกำลังเพื่อดูแลสุขภาพตั้งแต่อายุราว ๆ 40 ปี

“ลุงหมอแกลุกขึ้นมาทำเรื่องนี้ก่อน เพราะอยากเป็นแบบอย่างให้คุณป้า ซึ่งจากวันนั้นก็ยังทำอยู่เรื่อยมา จนอายุ 50 คุณลุง และคุณป้า ก็ผันตัวเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวให้กับผู้ที่สนใจการออกกำลังกาย รวมถึงผันตัวไปเป็นครูสอนโยคะ ซึ่งลูกศิษย์ลูกหาก็มีตั้งแต่คนวัยใกล้เกษียณ จนถึงวัยหลังเกษียณ ต่อมาหลังจาก TikTok ได้รับความนิยมมากขึ้น เราทั้งคู่ก็มองว่าน่าจะใช้พลังจากแพลตฟอร์มนี้เชิญชวนให้คนหันมาออกกำลังกายและดูแลสุขภาพได้ จึงเข้าสู่วงการโซเชียลตอนอายุมากแล้ว โดยในช่องทางนี้ จะเป็นการให้ความรู้สุขภาพ ทั้งวิธีออกกำลังกาย การกินอาหารที่เหมาะสมกับวัย และพอมีคนรู้จักและติดตามมากขึ้น ก็เลยถูกยกให้เป็นไอดอลสายตรองวัยเก๋าในที่สุด”

ทาง “คุณป้าตุ๊กตา-ณัฐรดา” ยังได้เล่าย้อนชีวิตให้ฟังว่า เรียนจบปริญญาตรี ภาควิชาการบัญชี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเริ่มต้นทำงานที่การประปาส่วนภูมิภาค จากนั้นได้ย้ายไปทำงานในบริษัทเอกชน บริษัท เอวอน คอสเมติกส์ ในตำแหน่งผู้จัดการเขต ก่อนที่จะย้ายมาทำงานที่ AT&T Directories ซึ่งทำเกี่ยวกับสมุดโทรศัพท์ โดยภายหลังได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ จ.ชลบุรี และอยู่เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ ส่วนสาเหตุที่ทำให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายนั้นเริ่มมาจากการที่มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากช่วงที่ใช้ชีวิตการเป็นสาวออฟฟิศ เพราะด้วยงานที่ทำ ต้องนั่งอยู่กับเก้าอี้ตลอด โดยไม่ค่อยได้ลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทางอิริยาบถ จึงส่งผลทำให้ข้อเข่าเสื่อม โดยเวลาที่อาการกำเริบนั้นคุณป้าบอกว่า… จะรู้สึกทรมานมาก ๆ จนเดินเหินไม่สะดวก จึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมาก ๆ ที่สุดเมื่อทนความปวดไม่ไหว จึงตัดสินใจไปพบแพทย์

ท่องเที่ยวขึ้นเขาเข้าป่าก็สบายมาก

ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าให้ลดน้ำหนัก ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นน้ำหนักขึ้นมาแค่ครึ่งกิโลกรัมเท่านั้น และจากการที่คิดว่า…ถ้าจะไม่ให้อ้วนก็ต้องงดกินอาหาร ปรากฏหลังจากนั้นไม่ได้เป็นแค่ข้อเข่าเสื่อม แต่กลายเป็นว่าทุกส่วนของร่างกายเสื่อมหมด ที่เป็นผลพวงจากอดอาหารมากไป ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ สุดท้ายก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอ จนถึงขนาดที่ว่า…เวลาไปตลาดหิ้วถุงกับข้าวหนักแค่ 1-2 กิโลกรัม ก็รู้สึกเหมือนแขนจะหลุดออกจากข้อศอกแล้ว …คุณป้าเล่าถึง “ความทุกข์สุขภาพ” ที่เคยเผชิญในอดีต และว่า… นอกจากปัญหาข้อเสื่อม คุณป้ายังมีปัญหาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันต่ำทำให้เป็นหวัดได้ง่ายกว่าคนอื่น ๆ

และนอกจากปัญหาสุขภาพของตัวคุณป้าเองที่ต้องดูแลแล้ว คุณป้ายังมีภารกิจใหญ่อย่างการดูแลคุณพ่อคุณแม่ด้วย ทำให้คุณป้าจึงเข้าใจว่า… คนเราเมื่อเจ็บป่วยยามแก่ จะยิ่งทำให้ลูกหลานลำบาก จากค่าใช้จ่ายในการดูแลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าหากเป็นข้าราชการก็ดีไป เพราะมีสิทธิรองรับเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่ได้เป็นล่ะ…กรณีนี้ก็ต้องถือเป็นภาระที่ใหญ่มาก ๆ จนทำให้หันกลับมามองดูตัวเองว่า…ถ้าวันใดวันหนึ่งคุณป้าและคุณลุงเกิดเจ็บป่วยขึ้นมา ลูก ๆ จะมีกำลังพอที่จะซับพอร์ทแค่ไหน? จึงทำให้หันมาดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่เป็นภาระของลูก ๆ อีกทั้งเป็นเพราะยังอยากจะอยู่กับลูก ๆ หลาน ๆ ไปนาน ๆ ด้วย

“หลังตัดสินใจเดินหน้าเรื่องนี้ ก็ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ในชีวิตทั้งหมด ตั้งแต่การกินอาหาร ออกกำลังกาย แต่ตอนที่ยังลังเลนั้นก็ได้ลุงหมอนี่แหละที่ช่วยกระตุ้นให้เราลุกขึ้นมาทำเสียที ด้วยการเข้ายิมออกกำลังกายเป็นตัวอย่างให้ แต่กว่าที่ป้าจะลุกขึ้นมาทำตามก็กินเวลากว่า 1 ปี ซึ่งหลังเข้ายิมไปสักพัก ป้าก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยนอกจากสุขภาพดีขึ้นแล้ว หุ่นสวย ๆ หุ่นดี ๆ ก็คืนมาด้วย” คุณป้าเล่าเรื่องนี้พร้อมรอยยิ้ม

กับ “ลุงหมอแว่น” สามี และลูก ๆ

นอกจากนั้นคุณป้ายังย้ำว่า… “ครอบครัวคือคีย์เวิร์ดสำคัญ” ของเรื่องนี้ ซึ่งการที่คุณป้าลุกขึ้นมาออกกำลังกายนั้นเป็นเพราะตัวลุงหมอ หรือสามีของคุณป้า ที่ลุกขึ้นมาทำเป็นตัวอย่างให้เห็น และพอลูกเห็นตัวอย่างจากคุณพ่อคุณแม่ ลูกก็เลยทำตามไปด้วย จนกลายเป็นว่า…ครอบครัวของคุณป้าทุกคนต่างก็ “ติดการออกกำลังกาย” กันทุกคน

“ช่วงแรก ๆ ช่วงเริ่มออกกำลังกาย ป้าเข้ายิมไปตัวแห้ง พอออกมาก็ตัวแห้ง เพราะเน้นออกกำลังกายแบบเบา ๆ ซึ่งช่วงแรกยกเวทน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัมก็ยังแทบจะยกไม่ขึ้น จนลุงหมอแซวว่า…ถ้าเบากว่านี้ก็ไม้จิ้มฟันแล้ว แต่ถึงแม้จะออกกำลังเบา ๆ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น หลังอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ที่เคยเป็น ค่อย ๆ ดีขึ้น ทีนี้พอเห็นว่าการออกกำลังกายได้ผล ก็เลยอยากปรับปรุงหุ่นหรือรูปร่างด้วย ก็เลยออกกำลังหนักขึ้น”

ทางคุณป้ายังบอกอีกว่า หลังจากเพื่อน ๆ เห็นหุ่นหรือรูปร่างที่สมส่วนกว่าเดิม ก็มาขอให้คุณป้าช่วยแนะนำ ช่วยสอนเทคนิคให้หน่อย แต่ตอนนั้นตัวคุณป้าเองก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะสอนใครได้ เพราะยังรู้สึกว่าตัวเองยังมีความรู้ไม่พอ จึงตัดสินใจไปเทคคอร์สการเป็นครูฝึกสอนการออกกำลังกายเพิ่มเติม โดยมีสามีและลูกไปร่วมเรียนด้วย อย่างไรก็ดี คุณป้าบอกว่า…แม้จะเรียนจบครบคอร์ส จนได้รับใบประกาศนียบัตรรับรองแล้ว แต่ก็ไม่ได้เปิดสอนเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ดี จนตอนอายุ 56 ปี ตอนนั้นจึงเริ่มคิดที่จะเผยแพร่วิธีออกกำลังกายสำหรับคนสูงวัย จึงนำเทคนิคและความรู้เรื่องนี้ไปโพสต์ลง Facebook และ TikTok ปรากฏมีคนสนใจระดับหนึ่ง โดยส่วนใหญ่เมื่อเห็นก็ตกใจ และมักจะบอกว่า… “คุณป้าแข็งแรงและฟิตมาก ๆ”

แต่ที่ทำให้คนรู้จักคุณป้าและคุณลุงมากที่สุด ก็คือจาก “คลิปเต้น” ที่โพสต์ลง TikTok ซึ่งเป็นคลิปที่ได้ยอดวิวสูงมาก สูงกว่าคลิปสอนออกกำลังกาย หรือเล่นโยคะเสียอีก จึงกลับมานั่งวิเคราะห์ ก็พบว่า… ที่คลิปเต้น “ปัง” มากกว่าออกกำลังกายนั้น อาจเป็นเพราะมีรูปแบบที่ดูแล้วสนุก ดูได้เพลิน ๆ แถมเพลงประกอบก็ฟังแล้วทำให้รู้สึกคึกคัก คนดูก็เลยรู้สึกสนุกและมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย จึงเปลี่ยนแนวหันมาใช้คลิปเต้นเพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาชม แต่ก็ไม่ลืมที่จะสอดแทรกข้อมูลความรู้และเคล็ดลับการดูแลสุขภาพเข้าไปด้วย นอกจากนี้ คุณป้าดาว TikTok คนดัง ก็ยังบอกเสริมอีกว่า… มีหลายคนเข้ามาถามว่า… ปวดเข่าหรือข้อเสื่อมอยู่จะเต้นได้มั้ย? คุณป้าจึงทำคลิปขึ้นมาเพื่ออธิบายและให้ข้อมูลเรื่องนี้ เพื่อตอกย้ำว่า…คนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมก็เต้นได้ ก็สามารถออกกำลังกายได้ โดยได้ยกตัวอย่างชีวิตของตัวเอง ที่เจ็บปวดด้วยโรคนี้มานานกว่า 20 ปี แต่ก็สามารถทำให้อาการป่วยหายไปได้ในที่สุด จากการเต้นและออกกำลังกายอย่างถูกต้อง เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย ซึ่งหลังจากคนที่ถามเรื่องนี้นำไปปฏิบัติ ปรากฏอาการป่วยที่เป็นอยู่ก็ดีขึ้นจริง ทำให้คุณป้ายิ่งดีใจ และยิ่งมีไฟให้ทำคลิปแบบนี้ต่อไปอีก

“อยากจะบอกว่า…ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งอย่านั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ เพราะการนั่งนาน ๆ เป็นที่มาของทุกโรคเลยนะ (หัวเราะ) เช่น เข่าเสื่อม กระดูกพรุน ปวดเมื่อยตามร่างกาย ยิ่งถ้าหากไม่ชอบออกมารับแดดตอนเช้า ไม่ออกกำลังกายด้วย ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงทำให้ร่างกายมีปัญหา เผลอ ๆ บางทีอาจยิ่งกระตุ้นทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ด้วย ซึ่งถ้าเราเดินรับแดดยามเช้า สายตามันก็เจอธรรมชาติ ทำให้เราสดชื่น มีความสุข แล้วแสงแดดมันช่วยกระตุ้นให้ผลิตสารเมลาโทมิน ที่มีผลทำให้เราหลับสบาย และถ้าเรามีการขยับร่างกาย ข้อต่อมันก็มีการเคลื่อนไหว เลือดก็ไหลเวียนดี เซลล์ต่าง ๆ ก็ได้รับอาหารและอากาศจากกระแสเลือดได้ดี” นี่เป็นคำแนะนำจากคุณป้า ที่ย้ำว่า…

รวมวัยเก๋าตัวท็อปอินฟลูเอนเซอร์-ยูทูบเบอร์

“ยิ่งอายุเยอะยิ่งห้ามอยู่นิ่ง” แต่ “ต้องขยับร่างกายสะบัดอวัยวะบ้าง” การออกกำลังกายช่วยให้ได้ใช้ร่างกาย และยิ่งออกกำลังกายแบบคาดิโอ ก็ยิ่งมีประโยชน์ ช่วยเรื่องระบบหัวใจและหลอดเลือด อวัยวะต่าง ๆ ก็พลอยได้อานิสงส์ด้วย และยังดีต่อระบบสมอง ส่งผลให้ความจำดีขึ้น ทำงานได้ดีขึ้น จากการที่เราสละเวลาแค่สักครึ่งชั่วโมงเพื่อลุกขึ้นมาออกกำลังกาย

“คุณป้าตุ๊กตา-ณัฐรดา” ย้ำกับ “ทีมวิถีชีวิต” มาด้วยว่า… การดูแลร่างกาย ต้องเริ่มจากใจก่อนว่าตัวเราทำได้ โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่จะกลัวการทำสิ่งใหม่ ๆ กลัวการเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม่ค่อยกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรใหม่ ๆ ซึ่งเป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้ไม่ลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ส่วนตัวอยากแนะนำ “คนวัยเก๋า” วัยเดียวกันว่า… หากยังไม่กล้า ขอให้เริ่มต้นทีละเล็กทีละน้อยก่อนก็ได้ แล้วค่อย ๆ ขยับ ค่อย ๆ ยกระดับเพิ่มเรื่อย ๆ แต่ถ้าไม่กล้าแล้วมัวแต่กลัวจนไม่เริ่มทำเลย ก็จะไม่ได้เริ่มต้นทำสักที และที่สำคัญเลย ที่อยากบอกคนรุ่นราวคราวเดียวกันก็คือ… “เราอย่าไปฝากความหวังไว้กับลูกหลานเลย เราควรปล่อยให้ลูกหลานได้ไปใช้ชีวิตของเขา ให้เขาไปสร้างประโยชน์ โดยไม่ต้องมากังวลบุพการี จะดีกว่า และก็อยากให้คิดว่า…ไม่มีใครดูแลเราได้ดีเท่ากับตัวเอง”.

“ป้าตุ๊กตา” กับ “ลุงหมอแว่น-ทพ.สมชัย”

‘ข้อคิดชีวิต’ จาก ‘ลุงหมอแว่น’

“ลุงหมอแว่น-ทพ.สมชัย สุขสุธรรมวงศ์” สามีของ “คุณป้าตุ๊กตา-ณัฐรดา สุขสุธรรมวงศ์” ได้ให้ “ข้อคิดน่าสนใจ” ผ่าน “ทีมวิถีชีวิต” มาว่า… คนมักจะถามว่า… “ทำไมถึงออกกำลังกาย?” ก็อยากให้ถามใหม่ว่า… “ทำไมเราต้องรักษาสุขภาพ?” ซึ่งการออกกำลังกายเป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลายส่วนของการรักษาสุขภาพ โดยมีคำกล่าวประโยคหนึ่งที่น่าคิดว่า… ร่างกายนั้นเป็นเพียงสถานที่บ่งบอกว่าคนเรายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นถ้าร่างกายเปรียบเหมือนบ้านหรือรถ การเสื่อมสภาพย่อมมี และปัจจัยที่เอื้อให้เสื่อมเร็วกว่ากำหนด คือการไม่ดูแลบำรุงรักษา ฉันใดก็ฉันนั้น ร่างกายที่ขาดการเหลียวแลย่อมเป็นร่างที่สร้างปัญหาให้ต้องแก้ไขไม่หยุดหย่อนนั่นเอง พร้อมกันนี้ ลุงหมอแว่น ยังย้ำว่า… “ถ้าดูแลดี หมั่นเช็กระยะ ขัดสีฉวีวรรณบ้าง ก็จะใช้งานได้นานขึ้น ตรงกันข้าม ถ้าไม่เคยสนใจใยดี ไม่เคยตรวจสุขภาพ ไม่เคยรับรู้สิ่งที่ร่างกายแสดงออกมา วันหนึ่งพอหมดสภาพ ก็สตาร์ทไม่ติด วิ่งไม่ได้ จึงค่อยหันมาใส่ใจ ก็ไม่ทันการณ์แล้ว ดังนั้น ก่อนจะหาคำตอบว่า…เราต้องออกกำลังทำไม? ก็ควรถามตัวเองก่อนว่า…วันนี้เราดูแลสุขภาพได้ดีหรือยัง?”.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน