นั่นคือความรู้สึกที่จะเกิดขึ้น ท่ามกลางการคาดหวังสูงกับภาพยนตร์เรื่อง No Time to Die หรือชื่อไทยว่า พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ ภาพยนตร์แอ๊คชั่นผจญภัยเรื่องที่ 25 แล้ว ที่ได้ฤกษ์ออกฉายเสียทีในปีนี้ หลังจากที่ต้องล่าช้าไปหนึ่งปีครึ่ง เพราะกำหนดเดิมจะฉายในเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว แต่เพราะการแพร่ระบาดใหญ่ของไวรัสโควิด-19 ทำให้หลายประเทศทั่วโลกเผชิญสถานการณ์รุนแรง ต้องปิดหรือหยุดกิจกรรมเคลื่อนไหว และรวมกลุ่มชุมนุมไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัย ดังนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นความหวังว่าจะช่วยดึงดูดให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ กลับไปดูภาพยนตร์ในโรงได้อีกครั้ง

James Bond 007

ผู้ชมจะได้พบกับบทบาทการต่อสู้อย่างมาก ของยอดสายลับเจมส์ บอนด์ รับบทโดยดาเนียล เคร็ก ซึ่งเป็นตอนที่ห้าแล้วของเขา และจะเป็นตอนสุดท้ายแล้วด้วย ในบทที่อ่อนละมุนแต่แข็งแกร่ง ในฐานะสายลับนักต่อสู้ในภาพยนตร์ความยาว 2 ชั่วโมง 43 นาที ถือว่าเป็นตอนที่ยาวที่สุดของซีรีส์ยอดสายลับ ที่ขนมาครบทั้งฉากระเบิด มุขขำ และบ้างครั้งก็อ่อนโยนด้วยเหมือนกัน โดยจะพูดถึงความหลังที่ยังฝังใจของพระเอก แต่ก็เดินเรื่องไปอย่างหลากหลาย และไม่ได้เน้นแต่เฉพาะผู้ชาย กับยุคศูนย์กลางยุโรป

และแน่นอนว่า ภาพยนตร์จะทำให้คุณหยุดความเป็นจริงที่น่าเบื่อหน่ายเอาไว้ก่อน เพราะโคโรนาไวรัสไม่เพียงแต่สร้างความลำบากให้กับภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของอาวุธชีวภาพ และตำนานความรุนแรงของครอบครัว

ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยแครี โจจี้ ฟูคูนากา ผู้กำกับชาวอเมริกัน เปิดฉากด้วยความต่อเนื่องสองฉากแต่ต่างกันในลักษณะ อันดับแรกคือความหนาวเย็นของสแกนดิเนเวียน ซึ่งใช้การถ่ายภาพที่มีความสว่างค่อย ๆ ลดลงบริเวณขอบภาพ ฝีมือของตากล้อง ลินัส แซนด์เกรน ซึ่งนำเสนอแนวคิดของเด็กที่ได้รับอันตราย และถูกถ่ายทอดเป็นมรดกร้ายตลอดทั้งเรื่อง

ความต่อเนื่องในฉากที่สอง คือการพูดถึงตัวของพระเอกแบบสั้น ๆ เท่าที่โอกาสจะมี เช่น บอนด์ได้ขอวางมือจากวงการสายลับแล้วและพักผ่อนอยู่กับสาวอิตาเลียน มาเดลีน สวอนน์ รับบทโดยเลอา เซย์ดูว์ ส่วนเพลงประกอบภาพยนตร์ตอนเครดิตต้นเรื่อง ก็เป็นของบิลลี ไอลิช

Billie Eilish

แต่ทั้งหมดใช่ว่าทั้งโลกจะดีไปหมด เพราะยังมีความเครียดในความสัมพันธ์ของวงการสายลับสหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกา และความแค้นฝังลึกกับองค์กรวายร้ายอย่าง สเปคเตอร์ ศัตรูเก่าของบอนด์ และลูกน้องฝ่ายตรงข้าม ที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงเฮอร์คิวลิส อาวุธชีวภาพเป้าหมายดีเอ็นเอ ที่สามารถทำลายมนุษยชาติได้ (อาจเป็นอาวุธร้ายที่อยู่ในตัวเรา ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นอาจอยู่ไม่ไกล)

การเดินเรื่องเป็นไปอย่างตื่นเต้น ด้วยพล็อตเรื่องขมวดปม แต่ภาพยนตร์สายลับเจมส์ บอนด์นั้น สร้างจากองค์ประกอบที่เป็นเหมือนสูตรสำเร็จเลยก็ว่าได้ โดยนำมาผูกเรื่องเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะก็เช่นเดียวกัน มีทุกส่วนครบถ้วนไม่ว่าจะเป็นสถานที่สวยงาม ตั้งแต่คิวบาไปจนถึงนอร์เวย์ และมาลอนดอน รถยนต์สุดเจ๋ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีแอสตัน มาร์ติน แล้วยังมีเทคโนโลยีนาโนบอตส์ กับไบโอนิคอายด้วย

ส่วนคนเขียนบทเป็นฟูคูนากา นาเอล เพอร์วิส โรเบิร์ต เวด และฟีบี วอลเลอร์-บริดจ์ ขณะที่นักแสดงหญิงก็มี อนา เดอ อาร์มัส มารับบทสายลับซีไอเอ พาโลมา และลาซานา ลินช์ รับบทโนมี สายลับเจ้าของรหัส00เช่นกัน

ฉากที่ต้องคงเอาไว้ เสมือนเป็นลายเซ็นของสายลับคนนี้ที่ได้แนะนำตัวว่า บอนด์ เจมส์ บอนด์ ส่วนวายร้ายในเรื่องนำแสดงโดยรามี มาเลค รับบท ลูซิเฟอร์ ซาฟิน ขณะที่เพื่อนร่วมงานก็มากันครบ ทั้งเอ็มหัวหน้าสายลับ รับบทโดยราล์ฟ ไฟน์ส มันี่ เพนนี รับบทโดยนาโอมิ แฮร์ริส และคิว โดยเบน วิชอว์

นี่คือตอนส่งท้ายของดาเนียล เคร็ก ซึ่งเข้ามารับบทบอนด์ตั้งแต่ คาสิโน รอยัล ในปี 2006 ซึ่งบทบาทในหลายตอนนั้น ดูเหมือนเขาจะหมดสภาพ แต่ก็ฆ่าไม่ตายหรือตายไม่ได้ เพราะนี่คือเรื่องของมายาแห่งวงการบันเทิง โดยพระเอกดาเนียล เคร็กยังรักษาหุ่นและมัดกล้ามได้เป็นอย่างดี ถือเป็นอีกหนึ่งบทบาท ซึ่งก็น่าจะถึงตอนจบได้อย่างดีสำหรับพระเอกอย่างเขา และคงไม่ใช่ตอนจบของยอดสายลับอย่างเจมส์ บอนด์อย่างแน่นอน.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AP