เนื่องในโอกาสวันวิสาขบูชา ..ตื่นเช้ามาก็เห็นป้าข้างบ้านรายหนึ่ง นุ่งขาวห่มขาวเหมือนเตรียมจะไปปฏิบัติธรรมหรือกลับจากใส่บาตรมาก็ไม่แน่ใจ รู้แต่วันพระแกทำบุญไม่เคยขาด ว่างๆ ก็ฟังธรรมะ เวลาไปเที่ยวไหนต้องแวะวัด ไหว้พระสวดมนต์เป๊ะแทบทุกบทราวกับป้าจะสอบเปรียญได้

แต่อนิจจาเอ๋ย ..นิสัยทางโลกของนางคือเรียกว่า “ไม่มีใครเอา” ทำตัวเลวร้ายกับผู้อื่นไม่จบสิ้น เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้ ตระหนี่ถี่เหนียว โกหกใส่ไฟคนอื่นเสี้ยมให้เขาโกรธกัน ทำตัวข่มคนฐานะด้อยกว่า..เมื่อมองลักษณะนิสัยป้า ก็สงสัยว่า “คนแบบนี้ทำบุญขึ้นหรือ ?” คือนิสัยชนิดที่คนรู้จักป้านินทาว่า..เข้าข่ายมนุษยสเปโต ทางพระเขาว่าคือมนุษย์ประเภทกายเป็นคนใจเป็นเปรต พอถามกลับว่าก็เห็นป้าไปทำบุญบ่อยๆ คำตอบคือ “ไปทำบุญกับพระ บริจาคโน่นนี่ พระไหนดังก็ต้องหาทางไปไหว้ แต่กับเพื่อนร่วมโลกเบียดเบียนไม่จบสิ้น จนมีแต่คนเกลียด คุณคิดว่าคนแบบนี้เป็นอย่างไร ? ก็พวกทำบุญเอาหน้าเท่านั้นแหละ”

ป้าทำบุญแต่กับพระเพราะอะไร ? ก็คิดว่า ป้าน่าจะตกอยู่ในอุบายของบุคคลบางจำพวกในศาสนา หรืออุบายของลัทธิ ความเชื่อ แนวๆ ว่า “การทำบุญ ( กับเรานะ ยิ่งบริจาคเป็นปัจจัยได้ยิ่งดี ) จะช่วยให้ป้าตายไปได้ขึ้นสวรรค์” คือแบบว่า..ในช่วงที่มีชีวิตอยู่อยากร้ายกาจอย่างไรก็ตาม แต่การทำบุญมันแก้บาปได้ ..ก็ไม่รู้ว่าป้าคิดว่า การทำความดีกับคนอื่นเป็นการทำบุญหรือไม่ หรือโดนพวก“ผีบุญ” หลอกเอาเพื่อหาผลประโยชน์ สร้างจินตนาการโลกหลังความตายที่สวยงามกว่าโลกที่ใช้ชีวิตจริงให้เคลิ้ม … ซึ่งไม่รู้ว่า ป้าเขาร้อนรนบ้างหรือไม่กับเสียงก่นด่าของคนที่ป้าเบียดเบียน หรือป้าคิดอย่างไรเวลาเห็นคนที่ป้าเบียดเบียนเป็นทุกข์ ..ป้าอาศัยอยู่ได้เพราะเชื่อว่าตัวเองอิ่มบุญ ได้ขึ้นสวรรค์แน่ก็พอ หรือเปล่า โลกหลังความตายจะเป็นอย่างไรใครจะรู้ มีแค่ความเชื่อ แต่โลกแห่งความจริง บางครั้งทำอะไรไประวังได้อย่างนั้นคืนสนอง

แต่สิ่งที่ป้าทำ เช่นการบริจาคทีละเยอะๆ มันทำให้“พระเสียคน” คือจริงแล้วนักบวชน่าจะเป็นสภาวะมากกว่า แต่ตอนนี้กลายเป็นอาชีพ หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ แบบว่า แค่ในงานพิธีศพบางวัดก็คิดแพงหูดับ จนน่ากลัวว่า ในอนาคตถ้าทำพุทธพาณิชย์แบบนี้บ่อยๆ อาจต้องมีป้ายคนจนห้ามตายก็ได้ เพราะวัดไม่ทำศพให้ปัจจัยไม่ถึง… พระบางคนทำอาชีพประกอบพิธีกรรมรับซอง บางคนก็เก็บจนรวยซื้อรถหรู ซื้อของแพง จ้างสีกามานวดแบบอาตมาเมื่อย พอโดนจับได้คาที่ก็อ้างที่คาดผมผู้หญิงเป็นเครื่องแก้ปวดหัว.. ซึ่งดูแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนว่า “พระแบบนี้ไหว้ลงได้อย่างไร” ลักษณะแห่งนักบวชข้อแรก คือความสมถะและวัตรปฏิบัติอันงามก็ไม่มี ..หลังๆ เยาวชนหรือคนรุ่นใหม่ก็เลยมองพระแบบ ก็คนห่มเหลือง หรือเรียกว่าแครอทไปซะเลย ( แบบตอนชุมนุมให้มันจบที่รุ่นเรา )

คลิปพระบางคลิปก็ชวนตลก แบบคลิป “มึงสิกะเทย”ในตำนาน คลิปบรรดาเณรน้อยหัวโปกจับสบง จีวร จับเดรปเป็นชุดราตรีสีส้มเก๋ๆ คลิปพระขอกินทุเรียน ฯลฯ ข่าวพระหลายข่าวก็ชวนสังเวช เช่น จัดเซกส์หมู่กันเอง จับตรวจยาบ้าพบเล่นซะเกินครึ่งวัด แบบเนี้ย… ถ้าใครถามว่า แล้วเราควรศรัทธาพระต่อหรือไม่ ก็คงบอกว่า ให้ดูวัตรปฏิบัติแล้วกัน และที่สำคัญ ศึกษาพระธรรมด้วยตัวเองก็ได้ พวกหนังสือ รายการทีวี หรือกระทั่งในอินเทอร์เนตเยอะแยะ …พระสงฆ์คือพุทธบริษัท ซึ่งตามพุทธทำนาย ที่ทำศาสนาพังก็พวกพุทธบริษัทไปอ้างพระธรรมมาหาผลประโยชน์ ( เช่นกรณีครูอะไรสักอย่างที่เพิ่งโดนศาลพิพากษาเรื่องการจัดคอร์สสอนธรรมไป ว่า ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่เอามาใช้ทางพาณิชย์ ) จะเลือกนับถืออะไรก็ต้องดูให้ดีก่อน หรือไม่ก็..วิธีจับสัญญาณง่ายๆ คือการเก็บค่าคอร์ส หรือถูกสาวกตัวใหญ่ๆ กดดันให้ทำบุญเยอะๆ ..หรือพระบางคนทำให้เข้าใจว่า ยิ่งเปย์พระเยอะบุญยิ่งเยอะ

ซึ่งจะว่าไป ณ วันนี้พวกหากินกับ“สายบุญ”ก็มีเยอะขึ้น เรื่อง“ชีวิตหลังความตาย”ดูจะถูกใช้เป็นประเด็นหลักในการหากิน รองลงมาก็เป็นเรื่องโชคลาภ หรือได้สัมผัสอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ยิ่งมาอยู่รวมกันยิ่งหลอนเป็นอุปทานหมู่ ซึ่งหลายเรื่องกลายเป็นที่น่าขบขันสำหรับคนที่ไม่เชื่อ ( เพราะเขาไม่รู้จะเอาอะไรมาเชื่อ มันไม่มีตรรกะ ) เรื่องแบบนี้มีมาเรื่อยๆ ในสังคมไทย อย่างไอ้เรื่องบ้านสวนทรงสามเหลี่ยมอะไรสักอย่าง , หรือ2-3 ปีก่อน ข่าวว่าทางภาคอีสานมีสำนักยกย่องตัวบุคคลเป็น“พระบิดา” ซึ่งอะไรที่เป็นของเสียของพระบิดากลายเป็นศักดิ์สิทธิ์สิ้น เรียกว่า พอบุกสำนักด้วยมีการร้องบุกรุกป่า..ตำรวจ นักข่าวทำงานไปขมคอไป แต่คนที่เชื่อสุดใจเห็นว่า นี่แหละสภาพแวดล้อมดุจสวรรค์

ต่อมา ก็มีลัทธิบูชาตัวบุคคล คราวนี้เป็นเยาวชน ที่ระลึกชาติได้ว่า เคยเป็นอะไรวิเศษวิโสสักอย่างก็ไม่ทราบ เยาวชนสามารถสอนธรรมได้ ท่ามกลางสายตาคนไม่เชื่อที่ดูผ่านติ๊กต่อกหรือยูทูป แล้วคิดว่า“อิหยังวะ”ดูผู้นำแห่งทางธรรมนี่อยู่ไม่นิ่งเลย นั่งดูก็ได้แต่ปลงที่เห็นหัวหงอกหัวดำหลายๆ คนโดนเด็กเล่นหัวอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ทราบว่า ในคอร์สสอนอะไรบ้างเพราะดู“คุณครู”แบบพูดยาวๆ ไม่ค่อยได้ ( หรือพูดได้แต่ไม่ถ่ายให้เห็นก็ไม่ทราบ )  ..หรือไอ้ที่ว่าตัวเองเป็นร่างทรงองค์อวตารประหลาดๆ ปล่อยคลื่นพลังบุญเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ชาติ ที่เห็นออกรายการทีวีทีรู้สึกจะหมดลมปราณแทน ดูเธอใช้พลังเยอะ…ก่อนหน้านั้นก็มีอะไรเกี่ยวกับพวก “สายบุญ” อวดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เยอะแยะ …ที่ต้องระวังคือพวกอ้างทำเสน่ห์ได้ ระวังไปทำจะโดนลวนลาม

ได้พูดคุยกับนายจาตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการอิสระด้านพระพุทธศาสนา เขามีความเห็นว่า “ความเชื่อทางศาสนา กับการฉ้อโกง จุดตัดมันนิดเดียว ว่าการกระทำทางความเชื่อนั้น ละเมิดกฎหมายแพ่งรวมไปถึงกฎหมายอาญาหรือไม่ คุณเชื่อไหมล่ะว่าเยาวชนธรรมดาๆ สามารถเชื่อมจิตได้ ? คุณเชื่อไหมว่าสตรีบีบน้ำตา สามารถติดต่อพระพุทธเจ้าได้หลายพระองค์และรักษาโรคได้ ? คุณเชื่อไหมว่าการกินอุจจาระของคนคนหนึ่ง ที่อ้างตนว่าเป็นบิดาของทุกศาสนาคือการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง? คุณเชื่อไหมว่ามีพระภิกษุสามารถสนทนากับเทวดาได้ จนมีพระธาตุงอก อัญมณีงอกตามเนื้อตัว และมีรถหรูราคาแพงนั่งอย่างสะดวกสบาย?

ปรากฏการณ์จิตอ่อนแบบนี้ ไม่ใช่เพิ่งจะมี แต่มันฝังรากในสังคมไทยมานานจน ในหลวงรัชกาลที่ห้า ต้องทรงออกกฎหมายมาจัดการกับบรรดาผู้วิเศษในยุคนั้น คนสมัยนั้นหากถูกจับได้ว่าทรงเจ้าหรือกระทำตนเป็นผู้วิเศษจะได้รับโทษอย่างหนัก ตั้งแต่โบย 30 ที ถึง 50 ที ส่วนใครเป็นเจ้าของที่แล้วปล่อยละเลยให้ผู้วิเศษประกอบพิธีในที่ทางของตน จะถูกปรับปรับ 20 บาท ซึ่งคงเป็นเงินจำนวนไม่น้อยหากเทียบกับยุคปัจจุบัน

ส่วนในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ในยุคปัจจุบัน หมอดู ผู้วิเศษ ต้องมีใบอนุญาตจากรัฐโดยพิจารณา จากความรู้ทางวิชาการ คุณวุฒิ คุณธรรม เป็นต้น และที่สำคัญห้ามกระทำตนโดยใช้ความเชื่อโชคลางเพื่อฉ้อโกงประชาชน แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้รัฐบาลปักกิ่งจะสามารควบคุมอุตสาหกรรมผู้วิเศษได้อย่างสงบเรียบร้อย แต่คนจีนยุคใหม่เองกลับเชื่อในด้านนี้มากขึ้น ทั้งการดูดวง ทั้งการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ในไทยผมเห็นว่ารัฐต้องเข้ามาควบคุมเหมือนประเทศจีน ทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี) หรือ กรมศาสนา (สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม) รวมไปถึงกระทรวงมหาดไทย ที่กำกับดูแลมูลนิธิถูกกฎหมายต่างๆ แต่มูลนิธิเหล่านี้กลับลักลอบทรงเจ้าเข้าผีกันอย่างเอิกเกริก ซึ่งพอไปถามหน่วยงานรัฐเหล่านี้ มักจะไม่มีคำตอบว่า ทำไมถึงไม่ทำอะไรทั้งๆที่มีกฎหมาย หรือ มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ กลับปล่อยปละละเลยให้เป็นภาระของกระบวนการยุติธรรมอย่างตุลาการ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุหลังจากเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว ทั้งชีวิต และทรัพย์สิน รวมไปถึงล่วงละเมิดทางเพศ จากคนที่อาศัยความเชื่อหากินกับคนจิตอ่อนอยู่ร่ำไป”

ก็อยากสรุปแค่ว่า อยากให้หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง จับตาดูแลพวกประหลาดๆ นี้ให้ดี ก่อนจะขยายตัวเกินควบคุม ตัวอย่างการปล่อยความเชื่อบ้าๆ บอๆ ให้อยู่ในสังคมจนเลยเถิดมันมีอยู่แล้ว เรื่องใหญ่ที่สุดคือเหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่เมือง Jonetown เพราะศรัทธาในผู้นำ James Warren Jones จนไปตั้งชุมชนกัน แล้วจบด้วยโศกนาฏกรรม.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”

คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่…