ล่าสุด“นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ” รมช.คลัง ซึ่งเป็นโควตาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ(รทสช.) ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง ต่อนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เหตุน้อยใจถูกลดชั้นจากรัฐมนตรีช่วยเบอร์หนึ่ง กลายมาเป็นรัฐมนตรีช่วยเบอร์บ๊วย แถมยังได้ดูงานแค่สังกัดกระทรวงการคลังเพียงหน่วยงานเดียว คือ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)อีกทั้งผู้อำนวยการ(ผอ.)สำนักฯ ยังเคยเป็นคู่ปรับเก่าสมัยแข่งขึ้นปลัดกระทรวงการคลัง
ทำเอาเกิดเรื่องร้อนจน “นายกฯเศรษฐา” ต้องสั่งเบรกแต่ไม่ทัน เพราะการยื่นใบลาออกถือเป็นสิทธิ์ที่ไม่สามารถยับยั้งได้ จนหลายคนหวั่นว่าจะกลายเป็นแรงกระเพื่อมกระแทกต่อเสถียรภาพรัฐบาล เพราะผู้มีอำนาจใจแคบโกยงานไว้ให้กับพรรคพวกตัวเอง จนไม่เหลือถึงพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากพรรคอื่นเมินความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คิดถึงแต่ตัวเองโนสนโนแคร์ ซึ่งส่อแววจะกลายเป็นรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
เรื่องนี้เทียบได้กับกรณีของนายปานปรีย์ พหิธรานุกร ซึ่งก็เป็นคนจากพรรคเดียวกันที่ถูกลดชั้น จากรองนายกฯเหลือแค่ รมว.ต่างประเทศ เก้าอี้เดียว จนเจ้าตัวน้อยใจชิงลาออกหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ถือเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยต้องปรับกลยุทธ์ ในการทำงานร่วมกับพรรคอื่น เพื่อที่จะได้เป็นผู้ถือธงนำในการบริหารประเทศต่อไปแบบราบรื่นไม่สะดุด
แต่งานนี้จุดโฟกัสกลับไปอยู่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ เพราะในวันเดียวกันกับที่ “นายกฤษฎา” ลาออก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน และอดีต สส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรครทสช.ขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครทสช.ตามมาติดๆ โดยเจ้าตัวได้ยื่นหนังสือลาออก ถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรค รทสช. และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช. โดยให้เหตุผลว่า “ด้วยมีภารกิจส่วนตัวหลายประการ จึงขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ และตำแหน่งอื่นๆในพรรค ตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค.เป็นต้นไป”
งานนี้กลายเป็นว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเกิดรอยร้าวซ้ำซ้อนระหว่างพรรคร่วมและคนในพรรครทสช.เอง ส่อให้เกิดอาการระส่ำจนพรรคแตกหรือไม่ อีกทั้งยังต้องจับตาดู กลุ่มทุ่นที่เคยสนับสนุนจะยังคงหนุนรทสช.อยู่อีกหรือไม่
หากจับสัญญาณจากหัวหน้าพรรค “นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครทสช. พูดแบบไม่มีเยื่อใยกรณีที่นายกฤษฎาลาออกจากรมช.คลัง ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ทราบมาก่อน แต่ไม่ได้ตกใจอะไร เพราะในทางการเมืองถือเป็นเรื่องปกติเมื่อมีคนออกไปก็ต้องหาคนใหม่มาแทน เพราะโควตารัฐมนตรียังเป็นของพรรครทสช. ยืนยันพรรค รทสช. ไม่มีปัญหาอะไร การแบ่งงานขึ้นอยู่กับ รมว.คลัง ไม่ว่าใครจะตำแหน่งอะไร เมื่อทำงานร่วมกันก็ต้องทำร่วมกันให้ได้ ยืนยันเรื่องนี้ไม่ทำให้พรรคสะเทือน เหมือนกับที่นายสุพัฒนพงษ์ ตนก็ไม่ได้ทราบมาก่อนเหมือนกัน ก็คิดว่าแต่ละคนมีภารกิจส่วนตัว ใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะทำอะไรแต่ละคนก็ตัดสินใจเอง เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหา พรรคไม่มีปัญหา
ขณะที่บรรดาแกนนำพรรครสทช.ก็แสดงให้เห็นภาพภายในพรรครทสช.เองยังคงชื่นมื่นโดย “ขิง” เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรค นำทีมหอบสส.พรรครวมไทยสร้างชาติ แสดงความยินดีกับ “สุชาติ ชมกลิ่น” หลังเข้ารับตำแหน่ง รมช.พาณิชย์ สร้างฉากโชว์ภาพความแน่นปึกของพรรคยังเหนียวแน่น หลังเกิดปมสมาชิกพรรคลาออกยังไม่มีอะไรในกอไผ่ ทั้งผู้สนับสนุนยังคงเหมือนเดิม
เกมขบเหลี่ยมปีนเกลียวกันยังไม่จบเท่านี้หลัง“นายกฯเศรษฐา” สั่งกระทรวงสาธารณสุขรื้อกฎกระทรวงแก้ยาบ้าปรับลดจากครอบครอง 5 เม็ดให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้เสพ ให้เหลือ 1 เม็ด เพื่อเป็นหลักการให้ผู้ปฏิบัติงานทำตามเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ และย้ำขอให้สื่อสารให้ชัดเจนว่ายาเสพติดจะ 1 เม็ด 2 เม็ดก็ผิด หากเป็นผู้เสพต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นผู้เสพ ไม่อย่างนั้นจะถูกแจ้งข้อหาครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ต้องสื่อสารกับผู้ปฏิบัติงานให้ชัดเจนว่า หลักการจับและสันนิษฐาน คือ ไม่ว่าจะมีกี่เม็ดก็ผิด พนักงานสอบสวนต้องทำงานให้หนักขึ้น
พร้อมส่ง “กัญชา” กลับเป็นยาเสพติดประเภทที่ 5 โดยเร่งให้กระทรวงสาธารณสุขออกกฎกระทรวง อนุญาตให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ด้านการแพทย์และสุขภาพเท่านั้น โดยกำหนดไทม์ไลน์การดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้
งานนี้ “นายกฯเศรษฐา”เล่นบนเข้มกลางวงประชุม แถมยังออกมาให้สัมภาษณ์รวบหัวรวบหาง ประกาศย้ำชัดว่า ต้องทำเรื่องนี้เพราะไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคเพื่อไทย และคณะรัฐบาล ตัดสินใจทำเพื่อประชาชน
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกมาสวนทันที ว่า หากนำ “กัญชา” กลับเป็นยาเสพติด ผู้ประกอบการที่เริ่มลงทุน-ชาวบ้านรักษาตัวรับผลกระทบแน่ ยินดีแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจในรายละเอียด เพื่อการตัดสินใจที่รอบคอบและดีที่สุดสำหรับประชาชน
“นโยบายของทุกรัฐบาลเป็นไปเพื่อประชาชนทั้งสิ้น และสำหรับเรา ประชาชนมีหลายกลุ่มที่เราต้องดูแล แพทย์แผนไทยก็ประชาชน ผู้ป่วยก็ประชาชน ผู้ประกอบการก็ประชาชน ชาวบ้านที่ต้องการใช้ประโยชน์ตามภูมิปัญญาพื้นบ้านก็ประชาชน นโยบายของรัฐบาลจึงจะต้องเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ใช่คิดถึงแต่กลุ่มที่จ้องจะทำผิดกฎหมายเท่านั้น
พร้อมทวงสัญญา กัญชาอยู่ในนโยบายรัฐบาลที่แถลงต่อสภาว่า ต้องการใช้ประโยชน์เพื่อสุขภาพและเศรษฐกิจ ถ้าถามพรรค ภท. ยืนยันว่านี่คือ แนวทางที่ดีที่สุด เครื่องมือที่จะทำให้การควบคุมมีประสิทธิภาพสูงสุด คือการออก พ.ร.บ.กัญชากัญชง ที่เคยพยายามผลักดันแต่ถูกหักหลัง หากรัฐบาลผลักดันอีกครั้งในรอบนี้คงผ่าน”
ต้องจับตาดูภายในสิ้นปีนี้จะเห็นผลหรือไม่ เพราะยังมีมุมมองที่ต่างกันระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย
“รัฐบาลเศรษฐา” อยู่มายังไม่ถึงปีหม้อข้าวยังไม่ทันดำก็เห็นร่องรอยการชักธงเปิดศึกระหว่างพรรคร่วมภูมิใจไทย-รวมไทยสร้างชาติกันแล้ว
ขณะที่เรื่องร้อนๆของรัฐบาลยังมีต่อเนื่องที่เห็นตามมาติดๆ เห็นจะเป็นเรื่องโครงการรับจำนำข้าว วิบากกรรมของ “อดีตนายกฯหญิง” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เตรียมแต่งตัวกลับบ้านแบบสวยๆในเดือนตุลาคม ตามที่ “พี่ชาย” ทักษิณ ชินวัตร เคยบอกไว้
แต่จะกลับด้วยวิธีไหนสังเกตได้จากฉากดราม่าของ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ที่เล่นใหญ่ขนทัพสื่อมวลชน พร้อมข้าราชการลงพื้นที่ไปเปิดโกดังข้าวในโครงการรับจำนำข้าวที่เก็บไว้นาน 10 ปี
นำออกมาล้าง 15 น้ำก่อนหุงข้าวโชว์สื่อ พร้อมชิมให้เห็นกันชัดๆ เท่านั้นยังไม่พอยังให้สื่อมวลชนที่ตามไปชิมข้าวที่หุงในครั้งนี้ด้วย และให้สื่อการันตี ว่าข้าวที่เก็บนาน10 ปีในโครงการรับจำนำข้าวนี้ยังกินได้ พร้อมประกาศว่าจะนำข้าวนี้ออกมาเปิดประมูลขายข้าวนำเงินเข้าประเทศต่อไป
เล่นเอาโลกโซเชียลทำคลิปจับผิด “เสี่ยอ้วน” เลือกกินแต่กับข้าว พร้อมท้าให้หุงข้าวให้ครม.กินทุกวันอังคาร ด้าน“นายกฯเศรษฐา”ออกมาการันตี “ข้าวก็อร่อยดี ลองกินแล้ว รู้สึกเหมือนกินข้าวปกติทั่วไป แต่เรื่องของสีอาจไม่ขาวเหมือนข้าวใหม่” แต่กลับไม่มีภาพโชว์เหมือนทุกๆครั้ง
แต่งานนี้“สมชาย แสวงการ” 1ในสว.ตัวตึง ออกมาขวางไม่ควรขายข้าวที่เก็บมาเป็น 10ปี เพราะมีการรมยาฆ่าแมลงมาตลอด ควรตรวจสอบให้รู้ก่อนว่าข้าวมีคุณภาพเพียงพอที่จะนำออกมาขายหรือไม่ ถ้ายังไม่ได้มีการพิสูจน์คนหรือสัตว์กินก็เสี่ยงอันตราย อีกทั้งอย่าส่งออกไปขายแอฟริกาจะทำลายภาพพจน์ มาตรฐานข้าวไทยในตลาดโลก จี้หน่วยงานจับตาทำไม “รัฐบาลเศรษฐา” จึงหยิบโครงการรับจำนำข้าวออกมาในช่วงนี้ มีการข่าวว่าทีมกฎหมายของฝ่ายการเมืองในขบวนการทุจริตจำนำข้าว จะบิดเบือนสร้างพยานหลักฐานใหม่ ขอรื้อฟื้นคดีหรือไม่ หรือเพื่อดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรมที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีคำพิพากษาเด็ดขาดไปแล้ว
ไม่ทันไรทนายประจำตระกูลชิน“นายพิชิต ชื่นบาน” รมต.ประจำสำนักนายก รัฐมนตรี ก็ได้ออกแฉถึงขบวนการประมูลข้าวเน่า ที่รัฐบาลที่แล้วที่มีการประมูลแล้วว่า ทำไมไม่ได้นำออกไปทำอาหารสัตว์หรือเชื้อเพลิง รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารได้ไม่ถึงปีมีเบาะแส และมีทั้งหลักฐานพยานว่า บรรดาผู้ที่รับซื้อข้าว เอาไปทำอะไร กำลังอยู่ในรูปคดี ขณะนี้มีคนไปยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยืนยันว่า ผู้ที่ซื้อไปไม่ได้เอาไปทำอาหารสัตว์ โกดังข้าวนี้ เป็นโกดังสุดท้ายที่เร่งรีบขาย ในฐานะนักกฎหมายจึงสงสัยว่าจะเป็นการทำลายพยานหลักฐานอะไรบางอย่าง ซึ่งจะต้องตรวจสอบ ไม่มีเรื่องการเมือง มีแต่เรื่องของประชาชน ถ้าข้าวดีขายได้ เงินก็เข้ารัฐ
เมื่อดูจากการเดินเรื่องของรัฐบาลแล้ว ดูเหมือนสอดรับในการปูทางให้กับ นายกฯหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้านแบบสวยๆ ซึ่งก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะส่อแวว ว่า “นายหญิง” โดยกลั่นแกล้งไม่มีเจตนาทำผิด ตกเป็นเหยื่อของรัฐประหาร ซึ่งก็จะมีกระบวนการนิรโทษกรรม โดยมีกรรมาธิการศึกษาแนวทางอยู่
ระหว่างที่รัฐบาลกำลังฝุ่นตลบชุนลมุน “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” ทักษิณชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ดอดหารือชนกลุ่มน้อยเมียนมาร์ทำเอาดราม่ากันอีกระลอกโดยขุนพลจากพรรคก้าวไกล “รังสิมันต์ โรม” ออกมาซัด “ทักษิณ” มีอำนาจอะไรไปเจรจากับกลุ่มชาติพันธุ์เมียนมา ไปในฐานะอะไรจะสร้างความสับสนความเสียหายให้กับประเทศที่สำคัญจะสร้างความปวดหัวใครคือนายกตัวจริงกันแน่
ต้องจับตารอดูการละครเพื่อไทยใน“รัฐบาลเศรษฐา” จะมีอะไรเป็นตัวเร่งเพิ่มรอยร้าว ลดทอนต้นทุน จนไม่เหลือความศรัทธา ความน่าเชื่อถือ กลายเป็นผู้มีอำนาจในคราบเผด็จการเปิดศึกรอบด้านจนรัฐบาลเดินต่อไปไม่ได้.