โลดแล่นอยู่ในวงการมาตั้งแต่ปี 2542 กับเพลงที่เป็นอมตะจนถึงทุกวันนี้อย่าง “หมวยนี่คะ” เพลงจังหวะสนุกที่โชว์ความเป็นสาวหมวยฝากไว้ในเพลง ซึ่งทำให้ใครต่อใครทุกยุคทุกสมัยจดจำเพลงของวง “ไชน่าดอลส์” ได้อย่างแม่นยำ และพาให้รู้จักสองสาวมากความสามารถอย่าง เบลล์-สุภัชญา ลัทธิโสภณกุล และ หว่าหวา-ไพลิน รัตนแสงเสถียร ดูโอ้สุดน่ารักที่มีความสามารถรอบด้าน แม้ก่อนหน้านี้ทั้งสองคนจะแยกย้ายกันไปทำตามสิ่งที่รักและมีครอบครัว แต่เมื่อมีโอกาสดีได้กลับมารวมตัวกันในโปรเจกต์พิเศษอย่าง PROJEXT52 กับซิงเกิล Sister Sister ก็ทำเอาแฟน ๆ ตื่นเต้นหนักมากและตอบรับผลงานของพวกเธออย่างล้นหลาม

ล่าสุด “บันเทิงเดลินิวส์” มีโอกาสได้คว้าตัวพวกเธอสองคนมาพูดคุยและสัมภาษณ์ถึงมุมมอง และการทำงานที่ผ่านมา รวมถึงความท้าทายใหม่ ๆ ในผลงานปัจจุบันของเธอด้วย เราจึงไม่พลาดนำบทสัมภาษณ์มาฝากกันจ้า

ทักทายแฟน ๆ เดลินิวส์สักหน่อย?

ไชน่าดอลส์ “สวัสดีค่ะ พวกเราไชน่าดอลส์ค่ะ (ยิ้ม)”

เบลล์ “เบลล์เองนะคะ”

หว่าหวา “หว่าหวาเองค่ะ ทักทายค่ะ (ยิ้ม)”

ล่าสุดทั้งสองคนกลับมามีผลงานใหม่อีกรอบ ชื่อว่าอะไร?

หว่าหวา “เพลงนี้ชื่อว่า Sister Sister ค่ะ เพลงนี้ทำมาให้เพื่อแบบคนรอบข้างมีลูก จะให้เรียกพี่สาว”

เบลล์ “จริง ๆ คอนเซปต์เนี่ยมาจากพวกช่างทำผมแต่งหน้าเนี่ยชอบเรียกเราว่าพี่สาว แบบในโซเชียลมีเดียจะเรียกว่า พส พี่สาวนี่แหละค่ะ มันดูน่ารักและสวยเลยชอบค่ะ”

อันนี้ถือเป็นผลงานใช้ชื่อไชน่าดอลส์เลยใช่ไหม เพราะก่อนหน้านี้มีไปแจม ๆ หลายอย่าง?

หว่าหวา “ถ้าพูดถึงผลงานก็อาจจะนานแล้วที่ไม่ได้เห็นผลงานใหม่ของพวกเรา ก็รู้สึกว่าโชคดีมากที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เหมือนไม่ทันตั้งตัว ทุกอย่างเหมือนอยู่ที่จังหวะจริง ๆ นะ คุยกันมาตั้งนานก็ไม่ได้ทำกันสักที แต่คือมันจะเกิดขึ้นทุกอย่างมันเกิดขึ้นภายใน 5 วัน คืองงมาก 5 วันคือทั้ง เขียนเนื้อ อัดเสียง ซ้อมเต้น ทำเสื้อผ้า ถ่าย MV เลย”

เบลล์ “คือมันมีการพูดคุยกันมาบ้างในปีที่ผ่าน ๆ มา ให้เราทำซิงเกิลใหม่ แต่ว่าจังหวะคือเราก็เป็นเพื่อนกับหวาอยู่แล้ว ทั้งสองก็ได้กินข้าวกันเจอกันอะไรอย่างงี้ เราก็เลยแบบชวนเขามา ซึ่งดนตรีอะมีมาก่อนแล้ว แต่โครงการมีประมาณปลายปีที่แล้วด้วยซ้ำ”

ลักษณะเพลงเป็นอย่างไร?

เบลล์ “เหมือนผู้กำกับอยากให้แบบว่าเพลงนี้มันมีทั้งไต้หวันทั้งจีนแล้วเพลงนี้มันมีภาษาจีนด้วยก็อยากให้นึกถึงการมาท่องเที่ยวประเทศไทย ที่ ๆ เราไปถ่ายกันมันเป็นสวนสยาม ซึ่งมันเป็นสถานที่จำลอง ซึ่งมันก็มีสถานที่สำคัญ ๆ ของประเทศไทยอยู่ในนั้น”

ตอนนี้ทำงานด้วยกันมากี่ปีแล้ว?

เบลล์ “ถ้า ณ ปัจจุบันนะ ทำงานมาด้วยกัน 25 ปี แต่ถ้านับจากการเป็นเพื่อนกันเนี่ย มากกว่านั้นก็คือตอนนี้อายุ 42 นะคะ เรื่องการปรับจูน เรื่องงานเหมือนก็ต้องคุยกันมากขึ้น ด้วยความที่แต่ละคนก็มีประสบการณ์ ในเรื่องการทำงานและเรื่องความเข้าใจในกันและกันมากขึ้น มันสนุกแหละ จริง ๆ เราก็แอบขอบคุณเพื่อนเพราะว่าเราก็มีลูกมีครอบครัว บางทีเราก็จะอ่านไลน์กรุ๊ปไม่ค่อยทัน พอมาถึงปุ๊บก็แบบอะไรอะ เขาคุยกันไปถึงไหนแล้ว บางทีเพื่อนบอกช่วยเช็กงานหน่อย อยู่ตรงไหนหรอ ตามไม่ทัน”

หว่าหวา “เรื่องการทำงานต้องปรับจูนไหม ก็ต้องปรับกันเรื่อย ๆ จริง ๆ หว่าหวาคิดว่าความสัมพันธ์ทุกความสัมพันธ์อะ มันต้องมีการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่ว่ามันก็ได้พูดคุยสื่อสารกันมากขึ้น แต่ละช่วงเวลา ก็มีความคิดที่แบบพัฒนาดีมากขึ้น ก็ต้องปรับจูนกันไปเรื่อย ๆ กับเพื่อน ๆ คนอื่นก็เช่นกันค่ะ คือหวาจะเป็นคนที่เก็บรายละเอียด จี้ ๆ ๆ ๆ ทั้งเพลงทั้งเอ็มวี ไม่ยอมแบบซีนนั้นจะต้องอย่างงี้ ๆ คือปกติมันเป็นนิสัยพื้นฐานการทำงานของคนไต้หวัน แต่ทีนี้มันมีคนไต้หวันถึง 3 คนด้วยกัน มันก็เลยมีคนนิสัยแบบเดียวกันแบบนี้ 3 คน ก็คือจี้ ๆ ตาม ๆ ไม่ปล่อยผ่านเลย คือเราก็รู้สึกแบบว่า แต่ด้วยความที่ครีเอทีฟคอนเทนต์เขายิ่งเก็บรายละเอียดมากกว่าเราอีก ซึ่งก็รู้สึกว่าพูดตรง ๆ มันมีความเครียด แต่ว่าในความเครียดนี้มันมีความรู้สึกว่า พอมันเครียดปุ๊บมันมีวิธีการแก้ปัญหา เรารู้สึกว่ามันต้องทำได้สิ มันต้องดีกว่านี้ แต่ว่ามันมีเวลาจำกัด มันมีวิธีแก้ ทั้งพี่แมนเอง ทั้งพี่ผู้กำกับเอง ก็ให้ความร่วมมือเต็มที่ เราอยากได้อะไรก็ตามนั้น ก็คือเขาจะแนะนำกันเรื่อย ๆ แต่ว่าความยากมันอยู่ที่การทำงานข้ามประเทศกัน เพราะว่า เคอาร์ (ครีเอทีฟคอนเทนต์)เขาก็อยู่ไต้หวัน เราก็อยู่เมืองไทย คือทุกอย่างมันมีความยากแต่ในความยากมันก็แบบว่ามันรู้สึก challenge ตอนแรก 5 วันที่ถ่ายแบบมันสมูทมากจนแบบน่าแปลกใจ แล้วพอวันที่เริ่มตัดต่อเพลง MVนู่นนี่ ก็คุยกับเคอาร์แล้วแบบว่าเฮ่ยมันจะสมูทอย่างงี้ได้ยังไง มันก็มีปัญหาทำให้เราเติบโต คือพอมันยากปุ๊บ แล้วมันรู้สึกสนุกมันก็มีหลาย ๆ อย่าง มันก็มีความเครียด ความซีเรียสอะไรอย่างงี้ แต่ก็ผ่านไปด้วยดี”

ความคาดหวังในซิงเกิลนี้เป็นอย่างไร?

เบลล์ “บอกตรง ๆ เบลล์ไม่ได้คาดหวังเรื่องความโด่งดังนะ แต่ว่าเราคาดหวังว่าเราอยากให้เพลงนี้สร้างความสนุกให้ทุกคน แล้วด้วยความที่เป็น K.R.มา Feat. เราก็คาดหวังว่าอยากให้คนต่างชาติมาเที่ยวเมืองไทยเยอะ ๆ หรือแม้แต่คนไทยเองอยากไปเที่ยวต่างประเทศ ก็เหมือนกับได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน”

หว่าหวา “ตอนที่คุยกับ K.R. เราก็คุยกันแบบว่าแบบเราทำแค่เอาสนุกเนาะ เราก็คุยกันแบบนี้ ถ้าพวกเราสนุกเดี๋ยวความสนุกมันก็จะส่งมาหาคนดูเอง ถ้าเราเครียดมากเกินไปอะเราจะสร้างความสนุกไม่ได้ หวาเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของกฎแรงดึงดูด บางคนแบบไม่เชื่อ หว่าหวาพยายามจะบอกเพื่อนว่านั่งสมาธิแล้วหน้าจะเด็ก ถึงจะดีแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ หวาก็เลยรู้สึกว่าโอเคงั้นทำให้ดู ก็คือทุกวันเนี่ยถ้าคือแบบผิวดีก็คือแบบเด็กลง ส่วนนึงก็คือคลินิกด้วยแหละ”

เป็นเพื่อนกันมานาน ประทับใจอะไรซึ่งกันและกันบ้าง?

เบลล์ “จริง ๆ เบลล์ว่าความสัมพันธ์ตั้งแต่แบบเพื่อนหรือแบบเติบโตไปเรื่อย ๆ ถามว่าก็ช่วงที่เราห่างหายแต่สุดท้ายก็แบบ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นมิตรภาพแบบหวังดีต่อกันเสมอ ไม่ว่าจะมี issue อะไรที่เกิดขึ้น จะมีเพื่อนเราอยู่ข้าง ๆ เราเสมอ แล้วยิ่งในวัยที่สเต็ปอัปขึ้นไปเรื่อย ๆ ในวันนี้เรากลับมาทำงานด้วยกันมันแบบแฮปปี้มาก แบบมีความสุขมากเหมือนมันแบบ มันมีความพัฒนาของความสัมพันธ์เนาะ แต่ว่าสิ่งที่ประทับใจอะเบลล์ก็รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วอะ เวลาที่แบบเพื่อนเขามีอะไรกลับมากับเราอะ มันรู้สึกอะไรแบบนี้ เบลล์รู้สึกว่าตัวเราอะได้พัฒนาขึ้น เราได้มองเห็นตัวเองว่า ณ เวลานั้น บางทีตอนเด็กเป็นไหมเวลางอนเพื่อน อย่างโน้นอย่างนี้ ทำไมเพื่อนไม่เป็นแบบอย่างงู้นอย่างงี้ แต่ว่าสุดท้ายเวลาเราได้เห็นแล้วเรามองย้อนไปว่า ตัวเราด้วยที่เราอะทำไมคิดแบบนั้น เหมือนแบบว่าในความสัมพันธ์อะ ถ้าเรามอง ๆ มันคือการพัฒนาตัวเองนะ เพราะเราจะไปคาดหวังว่าคนอื่นจะทำนั่นนี่ให้เรา แต่พอเราโตขึ้นเราจะรู้ว่า เราต่างหากที่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น”

หว่าหวา “มันเหมือนกระจก เหมือนสะท้อนกันไปมา คือตั้งแต่ที่นั่งสมาธิเพราะหว่าหวาคอนเนก กับตัวเองมากขึ้น เพราะข้างในเราเปลี่ยน เพื่อน ๆ ทุกคนเหมือนเดิมนะ แต่ว่าสภาพแวดล้อมรอบข้างความสัมพันธ์กับทุก ๆ คน มันเปลี่ยนไปหมดเลย คือกับเพื่อนทุกคน ไม่ใช่แค่เบลล์คนเดียว กับคนอื่น ๆ ด้วยที่เราสนิท ก็ความสัมพันธ์ทุกอย่างที่เราเปลี่ยนแปลง มันก็สะท้อนสิ่งดี ๆ เข้ามาหาเรา หรือว่าเรามีเอเนอร์จีที่ดี เบลล์อย่างเนี่ยเขาก็จะมีข้อดีหลากหลาย คือจริง ๆ เขาเป็นคนที่ทำไรด้วยตัวเองเยอะมาก แต่เขาจะมองว่าเขาทำไม่ได้ แต่ว่าเราอะพูดถึงสิ่งที่เขาทำได้ก่อนนะ เขาสามารถที่จะบริหารจัดการชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัวฝั่งเขาเอง ฝั่งคุณแม่ สามี ลูก ๆ แล้วก็ยังบริหารกับการทำงาน แล้วก็ธุรกิจส่วนตัว คือแล้วเราก็นั่งมองว่าแบบ แล้วมีอยู่วันนึงเขาก็พูดขึ้นมาว่า ทำไมเขาทำอะไรได้ไม่ดีเหมือนเดิม เราก็นั่งฟังแล้วแบบพูดไรอะ คือปัญหาคืออะไรเรางงมาก คือเขาคิดในสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เราก็เลยรู้สึกว่าที่ทำอยู่ทั้งหมดคือเก่งมากแล้ว คือคุณค่าของผู้หญิงคนนึงที่เป็นแม่อะมันมีความหมายมากกว่าทุกคนในโลกใบนี้ คือคนที่เป็นแม่ทุกคนอะ มันมีคุณค่ามากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด คือจริง ๆ เขาเป็นคนที่มีคุณค่ามากแต่ไปโฟกัสสิ่งอื่น ก็เลยเอ้ากลายเป็นไร้ค่าขึ้นมาซะงั้น เราก็เลยต้องบอกเขาว่า สิ่งที่ตัวเองคิดกับสิ่งที่คนอื่นคิดอะมันไม่เหมือนกัน แล้วหวาเองได้จากการสะท้อนซึ่งกันและกัน บางทีเราอาจจะไม่ชอบหรืออึดอัดจากสิ่งที่เราไม่ชอบ เพื่อนบางคนไม่ได้แปลว่าเราไม่ชอบ แต่มันสะท้อนสิ่งที่เราทำไม่ได้ สมมุติว่าคนนี้เจ้าระเบียบ มันเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ เราก็จะรู้สึกว่าไม่ชอบสิ่งที่เขาเป็นแบบนี้ แต่ความจริงอะมันสะท้อนสิ่งที่เราขาด เราขาดความเป็นระเบียบวินัยรึเปล่า หรือว่าเราสะอาดเกิน มันลึกซึ้งมาก เหมือนเราอย่างที่เห็นคนมากเกินไปอะ รู้สึกว่าชิลหน่อยได้ไหม แต่ว่าความจริงอะมันคือสิ่งที่เราขาดมากกว่า จริง ๆ มันมีอะไรหลาย ๆ อยางที่เรามองต่างมุม แล้วพอรอบเนี้ยที่เราได้มาทำงานกันอะค่ะ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วอะแล้วพอเราได้ทำงานเลิกเอาตัวเองเป็นเซนเตอร์ของการทำงาน เลิกคิดว่าตัวเองเป็นไชน่าดอลส์ เลิกคิดทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวเรา เราเอาความสำคัญไปไว้ที่คนอื่น ไม่ว่าจะเป็นทีมงานหรือทุกคนที่ทำงานด้วยกัน เรารู้สึกว่าเราให้ความสำคัญกับคนที่อยู่ใกล้ชิดเรามากกว่าตัวเราน่าจะดีกว่า มันจะทำให้เราได้ทำผลงานที่คนอื่นอยากจะฟังอยากจะดู จะชื่นชมจริง ๆ มากกว่า มากกว่าที่เราอยากร้องสไตล์นี้ อยากฟังแบบนี้เรามองย้อนไปว่าคนอยากเห็นเราแบบไหน”

เบลล์ “แล้วแบบเราเป็นเพื่อนกันแล้วเป็นกระจกสะท้อนกัน วันนึงเราเปลี่ยน เขาก็เปลี่ยน มันแบบจูนคลื่นกัน พอวันเนี้ยแล้วเรามองเห็นเพื่อนเราเก่งมาก แล้วเป็นคนที่น่ารักมาก คิดทุกอย่างเพื่อคนอื่น เออแบบเราโชคดีที่มีเพื่อนแบบนี้อยู่ท่ามกลางคนดี ๆ เรารู้สึกว่าเราเปลี่ยนเอเนอร์จีเราส่งออกแล้วก็คิดถึงคนอื่น คืออะไรที่ดี ๆ ในคนอื่น เรามองเป็นตัวอย่าง”

มุมมองความรักของทั้งสองคนเป็นอย่างไร?

เบลล์ “ในมุมนี้เบลล์เรียนรู้การที่เราจะเป็นแม่อย่างที่บอกมันยิ่งใหญ่มากเลย การที่เราจะมอบความรักให้คนคนนึง อยากให้เขามีชีวิตที่ดี มันคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แล้วอย่างนึงเขาทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น แต่การที่เป็นแม่ทุกคนเราต้องภูมิใจตัวเอง เพราะหนึ่งเราเลี้ยงได้ แล้วเขามีชีวิตดีคือหนึ่งมาจากส่วนที่เราถ่ายทอดมาให้กับเขาด้วย มันก็เหมือนกับเราเป็นคนที่ดีขึ้น คือเมื่อก่อนเราก็จะเป็นคนที่ใจร้อนกว่านี้ เจ้าอารมณ์กว่านี้เราก็จะเหมือนแบบเบาลงก็พยายามเป็นตัวเองให้กับลูก คือถ้าเหมือนกับเราสอนอย่างเดียวแล้วเราไม่กระทำมันก็เหมือนกับแบบ อะแม่ไม่เห็นทำเลยอะ มันก็เหมือนกับเราทำให้เขาดู แล้วตอนนี้เหมือนกับหวาก็รู้สึกเอนจอยกับการแบบดูหนัง ไม่ใช่แบบดูหนังจริง ๆ นะ แต่เหมือนดูแบบดูหนังชีวิตของแต่ละคน คือแต่ก่อนอะเราจะรู้สึกว่าเอ๊ะเพื่อนเราทำไมไม่ทำแบบนี้ ทำไมไม่เลี้ยงดูแบบนี้ ทำไมไม่แต่งตัวแบบนี้ ทำไมคนนี้ไม่เป็นแบบนี้ ทำไมคนนี้ไม่ทำงานแบบนี้ แต่ก่อนเราจะคิดตามมาตรฐานของเรา ความคิดของเราที่มันแคบมาก แต่พอเรายิ่งเรียนรู้ เรารู้สึกว่าเรามองแต่ละคนเหมือนหนังเรื่องนึง สมมุติเรื่องของหวาก็คือหนังของหวา เขาเป็นผู้กำกับ เขาเป็นคนดำเนินเรื่อง เขาเป็นนักแสดงนำ แล้วเขาจะเขียนบทยังไงเขาจะเลี้ยงลูกยังไง เขาจะทำงานอะไร มันคือหวา หนังของเขาแล้วเราอะเป็นคนดูแล้วเราก็เอนจอยหนังเรื่องนี้ เราอาจจะเป็นนักแสดงประกอบในบางฉากของชีวิตเบลล์แต่ว่าสุดท้ายแล้วอะเราไม่มีสิทธิไปเปลี่ยนไดอะล็อกของเขา เราไม่มีสิทธิไปเปลี่ยนสคริปต์เขา เรายิ่งรู้สึกว่าพอมันมองแบบนี้เราตัดสิน หนังเรื่องไหนเราชอบเราก็ดูต่อ หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่แนวเราก็ไม่ดู”

หว่าหวา “มันก็เหมือนหนัง ถ้าเรื่องนี้มันไม่สนุกเราก็แค่เดินออกมา แต่ถ้าเรื่องไหนสนุกเราก็ดูต่อ แล้วเราก็อาจจะมีส่วนร่วมเป็นนักแสดงร่วมกับเรื่องนี้บางช่วงบางตอนในชีวิตคนนี้ ทำให้เรารู้สึกว่ามันรู้สึกดีกับทุกคน เเต่ละคนมีเรื่องของตัวเอง แล้วเราก็มองด้วยความรู้สึกประทับใจเพราะว่าบางเรื่องเราก็ดูมาหลายปี มันเป็นแบบเหมือนซีรีส์ยาวคืออย่างบางคนที่เราสนิทมากคือทุกคนเป็นผู้กำกับชีวิตของตัวเอง เราดูแล้วแบบว่าเราดูแล้วมันเอนจอย เราเปลี่ยนมุมมองความคิดเป็นแบบนี้ เราเอนจอยในชีวิตของแต่ละคนเพราะว่าชีวิตมันออกแบบไม่ได้โดยคนอื่น มันคือตัวเราเป็นคนออกแบบ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องออกแบบชีวิตตัวเองให้ดีที่สุดที่คิดว่าเหมาะสม เพราะว่ามีฟังอาจารย์ไม่แน่ใจอาจารย์ท่านไหนพูดบอกว่า ทุกอย่างในสิ่งที่เราเห็นมันมีการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นห้องนี้ เก้าอี้ตัวนี้ ทรงผม เสื้อผ้า ทุกอย่างมันมีการดีไซน์ แต่มีสิ่งนึงที่เราควรจะออกแบบมากที่สุดแต่เรามองข้ามมันไปก็คือชีวิตของเรา เราควรจะออกแบบชีวิตของเราที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นสังคมจะมองว่า ทำไมคุณไม่มีแฟน ทำไมคุณไม่แต่งงาน ทำไมคุณไม่มีลูก ไม่ต้องสนใจเลยเพราะว่าเราเป็นคนออกแบบชีวิตเรา เรามีความสุขแบบไหนเราทำแบบนั้น”

หว่าหวา “เอาจริง ๆ สำหรับหวามุมมองมันเปลี่ยนไปแบบนั้น เรารู้สึกว่าสิ่งที่มันทำให้เราหงุดหงิดหรือไม่ชอบไม่พอใจ แทบจะน้อยมากโดนสะกิดยากมาก คือแต่ก่อนคือหวาขี้โมโห แบบถามเบลล์ได้แบบอะไรไม่พอใจถีบประตูเลยนะ เคยแบบโมโหไม่อยากทำอันนี้แล้วแบบเตะประตูอารมณ์ขึ้นลงเร็ว แบบเหวี่ยง แต่พอวันนึงแล้วลองมาย้อนคิดกลับไปว่า เอ๊ะ สติดีรึเปล่า”

เบลล์ “แต่สิ่งนึงที่อยากจะปิดท้ายให้ทุกคน เหมือนรักตัวเอง รักตัวเองในที่นี้ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ตัวนะ แต่หมายถึงว่ามอบความรักให้ตัวเองบ้างเพราะว่า สังเกตว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าบ่อยเพราะว่าพอดีเห็นคนใกล้ตัวก็เป็นเยอะ บางคนเนี่ยชีวิตดีมากแต่ก็เป็นอะไรอย่างงี้ เหมือนเราก็แบบมองข้ามอะไรไปรึเปล่าบางอย่าง เหมือนน้อง ๆ แฟนคลับบางคนนี่ก็มีนะเขียนนู่นเขียนนี่มาบอก บอกแบบว่าวันนี้เขาเป็นยังไงอะไรอย่างงี้ คือเราก็เป็นห่วงเหมือนเด็กรุ่นใหม่ก็ยังเด็กอยู่เลยอะ คือสิ่งที่อยากเหมือนมองให้เห็นคือตัวเองก่อน คุณค่าในตัวเองก่อน เราไม่ได้แย่ขนาดนั้นอะ บางทีการที่เราเป็นคนจิตใจดี อย่างน้อยนั่นก็คือคุณค่าของเราแล้วนะ ตอนที่เราเป็นห่วงเพื่อนหรือเป็นห่วงคนอื่นอะไรอย่างนี้ นั่นก็คือความดีของเราแล้วอย่างนึง”

ยิ่งได้รู้จักก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมาก ๆ และเป็นอีกหนึ่งคนบันเทิงที่แฟน ๆ ของพวกเขาน่าจะภูมิใจเพราะทั้งสองคนเป็นคนคิดดี ทำดีและพูดดีจริง ๆ และเชื่อว่ากฎของแรงดึงดูดมันไม่ไปไหนแน่นอน หากใครได้ลองอ่านทัศนคติของสาว ๆ ไชน่าดอลส์แล้ว จะยิ่งรักเธอมากขึ้นอีกเท่าตัวเลยจ้า.

เรื่อง : สมคิด แซ่คู ภาพ : ธนทัต จันทารักษ์ , ปวินทร์ณวัฒน์ ว่านเครือ