การเมืองภายในของเวียดนามเข้มข้นและตึงเครียดรอบใหม่ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามประกาศเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ว่านายหวอ วัน เถื่อง ลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี เนื่องจาก “ละเมิดกฎระเบียบของพรรค” และไม่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกฝ่าย ในฐานะเจ้าหน้าที่ระดับสูงแห่งรัฐ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ภาพลักษณ์ของพรรค และของตัวนายเถื่องเองด้วย โดยไม่มีการระบุรายละเอียดเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้น

นายหวอ วัน เถื่อง

ทั้งนี้ สภาแห่งชาติเวียดนามลงมติเลือกนายเถื่อง ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 2 มี.ค. ปีที่แล้ว หลังนายเหวียน ซวน ฟุก ลาออกจากตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดของเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็น ประธานาธิบดี ระหว่างปี 2564-2566 สมาชิกในคณะกรรมการกลาง สมาชิกถาวรในกรมการเมือง หรือ โปลิตบูโร และประธานสภากลาโหมและความมั่นคงแห่งชาติ

ในเวลานั้น พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกล่าวว่า นายฟุก “ต้องแสดงความรับผิดชอบในฐานะผู้นำทางการเมือง” ต่อกรณีเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหลายคน รวมถึงรองนายกรัฐมนตรี 2 คน และรัฐมนตรีอีก 3 คน ซึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่งก่อนหน้าการลาออกของนายฟุก “โทษฐานละเมิดวินัยพรรค” หลังจากนั้น นายฟุกไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีก แต่จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ ว่าอดีตผู้นำเวียดนามถูกดำเนินคดีข้อหาใดหรือไม่

สำหรับการลาออกจากตำแหน่งของนายเถื่อง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคนสนิทของนายเหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เกิดขึ้นไม่นาน หลังกระทรวงความปลอดภัยสาธารณะออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับการขยายขอบเขตการสอบสวน การทุจริตในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของบริษัทแห่งหนึ่งในสามจังหวัด ที่รวมถึงจังหวัดกว๋างหงาย ซึ่งนายเถื่องเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการ

นายเวือง ดิ่ญ เว้

หลังนายเถื่องลาออกเพียงเดือนเดียว พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามประกาศการลาออกจากตำแหน่งประธานสภาแห่งชาติ ของนายเวือง ดิ่ญ เว้ เนื่องจาก “ไม่สามารถปฏิบัติตามและบกพร่อง” ในการปฏิบัติตามวินัยพรรค จึงไม่สามารถเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสมาชิกพรรคได้ ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค และตัวของนายเว้เองด้วย ซึ่งการละมิดวินัยพรรค เป็นภาษาที่เข้าใจกันดีในแบบสังคมนิยม ว่าหมายถึง พฤติการณ์ทุจริต

ตอนนี้ นางหวอ ถิ อัญ ซวน รองประธานาธิบดีเวียดนาม ปฏิบัติหน้าที่รักษาการในตำแหน่งประธานาธิบดี จนกว่าจะมีการเฟ้นหาผู้เหมาะสมดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่

อนึ่ง เวียดนามไม่มีตำแหน่ง “ประมุข” หรือ “ผู้นำสูงสุด” อย่างเป็นทางการ โดยแบ่งตำแหน่งออกเป็น “4 อันดับ” หรือ 4 ขั้น ไล่เรียงความมีอำนาจและอิทธิพลจาก เลขาธิการพรรค ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี และประธานสภาแห่งชาติ หมายความว่า นายเถื่องและนายเว้ จัดอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจสูงสุดอันดับต้นของเวียดนาม

ขณะที่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนปัจจุบัน คือ นายเหวียน ฝู จ่อง หรือ สหายจ่อง วัย 80 ปี ซึ่งเป็นอายุมากกว่าเกณฑ์ที่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกำหนดสำหรับสมาชิกระดับสูง ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องมากกว่า 1 สมัย ต้องมีอายุอยู่ในช่วงที่ไม่เกิน 60-65 ปี

นายเหวียน ซวน ฟุก เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม

อย่างไรก็ดี ที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม เมื่อปี 2564 “มีมติยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ” ท่ามกลางปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่รุมเร้า การอยู่ในตำแหน่งต่อของนายจ่อง จึงเป็นความพยายามของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ในการรักษาเสถียรภาพของประเทศ และการดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคอมมิวนิสต์เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกันของนายจ่อง คือตั้งแต่ปี 2554 ถือว่ายาวนานที่สุดนับตั้งแต่ประธานโฮ จิ มินห์

สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ หมายความว่า คณะกรรมาธิการถาวรประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ หรือโปลิตบูโร ของเวียดนาม เสียสมาชิกไปแล้ว 5 จากทั้งหมด 18 คน รวมถึงนายฟุก นายเถื่อง และนายเว้ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การพ้นจากตำแหน่งของบุคคลเหล่านี้สั่นคลอนภาพลักษณ์ และโครงสร้างอันเข้มงวดและรัดกุมของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามอย่างมาก แม้จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการดำเนินคดีกับผู้ที่ลาออกไปก็ตาม เพราะกว่าจะถึงการประชุมใหญ่ครั้งต่อไป ต้องรอถึงปี 2569

การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติ ที่กรุงฮานอย เมืองหลวงของเวียดนาม

แม้ความพยายามเชิญชวนการลงทุนจากต่างชาติเริ่มแสดงผลมากขึ้น ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ กล่าววระหว่างการเยือนเวียดนาม เมื่อปีที่แล้ว จะสนับสนุนการเป็นตลาดเกิดใหม่ของเวียดนาม สำหรับอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และเซมิคอนดักเตอร์

กระนั้น องค์ประกอบทางการเมืองและสังคมของเวียดนามยังคงเป็นความท้าทาย รัฐบาลและองค์กรนานาประเทศ ตลอดจนมุมมองของชาวเวียดนามและรัฐบาลเอง จนมองการคอร์รัปชันของเวียดนาม คือปัญหาเรื้อรัง และเพื่อรักษาความมั่นคงและความเชื่อมั่นต่อระบบพรรคการเมืองเดียว จึงไม่เหนือความคาดหมายมากนักที่แคมเปญต่อต้านการคอร์รัปชันในเวียดนาม จึงมีความเข้มข้นในระดับที่รัฐบาลประกาศให้เป็น “สงคราม”

แต่เหนือสิ่งอื่นใด เวียดนามจะยังคงรักษาสถานะของตัวเองในฐานะ “ประเทศมีอิทธิพลระดับกลาง” บนเวทีระหว่างประเทศไว้ได้ต่อไป เวียดนามยังคงมีภาพลักษณ์โดยรวมที่น่าเชื่อถือ สามารถคบหาเป็นพันธมิตรได้ และสามารถแสดงบทบาทตามกลไกพหุภาคีได้อย่างกลมกลืน เพราะแม้ปัญหาภายในยังคงมีมาก แต่หากสามารถควบคุมเอาไว้ได้ เสถียรภาพของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามจะยังคงแข็งแกร่งต่อไป.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : AFP