ศึกกรมปทุมวันเดือด แรงปะทะ 2 บิ๊กตำรวจ กลายเป็นสายล่อฟ้า เจอ “นายกฯเศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี เซ็นคำสั่งครั้งประวัติศาสตร์ของวงการสีกากี เด้งคู่ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. หลังเปิดหน้าชนกับปมเส้นทางเงินสีเทาจากเว็บพนันที่ต่างฝ่ายต่างแฉ ว่า เส้นเงินโยงไปถึงคนใกล้ชิดสอบ ถ้าเปิดออกมาจะเป็นเรื่องตายหมูอย่างที่ “บิ๊กโจ๊ก” ประกาศไว้
ทำเอา“นายกฯเศรษฐา” อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องเร่งชักฟืนออกจากกองไฟ ลงนามเซ็นคำสั่งส่ง 2 บิ๊กตร.เข้ากรุไปนั่งสำนักนายกรัฐมนตรี นาน 60 วัน แล้วส่ง “บิ๊กต่าย” กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.(ปป) รักษาการแทน พร้อมตั้งคณะกรรมการ 3 คนขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง
ดูเหมือนเสือสองตัวยังคงขบเหลี่ยมกันอยู่ จับสัญญาณ “บิ๊กต่อ” บอกว่า “งานเลี้ยงยอมมีวันเลิกลา วันนี้พี่ถอดหัวโขน อยู่แค่ตำแหน่ง ผบ.ตร. หัวโขนในการปฏิบัติหน้าที่ เราก็ถอดออก มานั่งที่นี่ก็ใส่หัวโขนที่นี่ โรงละครของเราเลิกแล้วก็เก็บฉาก เก็บเครื่องแต่งตัว ปิดไฟ หอบเสื่อกลับบ้านเราก็เท่านั้น ชีวิตเรามีเท่านี้ จะมาเครียดอะไร มาเร็วก็ต้องจากกัน ผมไม่เครียดหรอก ยืนยันไม่ช็อก เพราะรู้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว รู้ก่อนที่นายกฯจะเรียกเข้าพบ รู้ส่วนตัวอยู่แล้ว พร้อมน้อมรับคำสั่ง ” สำหรับงานที่ได้รับมอบหมายตอนนี้ให้ดูงานจิตอาสา โดยให้คำปรึกษาเรื่องการดูแลชุมชนต่างๆ และจะเดินทางเข้ามาทำงานทุกวัน แต่ยังคงต้องเข้าเวรราชองครักษ์อยู่
ส่วน “บิ๊กโจ๊ก” บอกว่า เรื่องคดีต้องจบส่วนที่โดนหมายเรียกก็ไม่มีผลเพราะยังไม่ได้รับหมายเรียก และก่อนจะไปถอนฟ้องทั้งหมดก็จะขอพูดคุยกับ “บิ๊กต่อ” ก่อน พร้อมปฏิเสธที่ผลออกมาอย่างนี้ไม่ได้เป็นผลพวงจากการไปขอความช่วยเหลือจาก “ทักษิณ ชินวัตร” “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่ไปเชียงใหม่ แต่การไปปรากฎตัวที่นั่นเป็นการไปทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญ เพราะ“ทักษิณ”เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี
งานนี้แม้ 2 บิ๊กตั้งโต๊ะแถลงข่าว ย้ำเหมือนกันว่า ความขัดแย้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหลังจากนี้ต้องยุติแล้ว ไม่มีใครขัดแย้งกับใคร จะเป็นจริงอย่างที่พูดหรือไม่
จึงทำให้เห็นว่า เรื่องนี้เป็นเพียงฉากละครฉากหนึ่ง ต้องดูว่าการจบแบบสวยๆอย่างนี้ ประชาชนจะได้อะไร จะเป็นการแค่ซุกปัญหาไว้ใต้พรมที่พร้อมขุดขึ้นมาทำลายล้างกันอีกรอบหรือไม่
แต่ที่แน่ๆการแก้ปัญหาของ “รัฐบาลเศรษฐา” มักจะเลือกเอาในส่วนที่ตัวเองถนัดมาใช้ด้วยวิธีการเด้งเพื่อจบปัญหา เข้าทำนองยื้อเวลาให้ทุกอย่างคลี่คลายเอง ซึ่งไม่โดนใจคนดูเพราะคนทั่วไปอยากให้จัดการเหลือบไร ในวงการตำรวจ โดยเฉพาะเงินสีเทาที่ทำให้วงการสีกากีเหม็นโฉ่ ไร้ความสง่างาม ประชาชนหมดความเชื่อมั่น หมดศรัทธา
หกเดือนรัฐบาล ยังคงแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการเด้ง “นายกฯเศรษฐา” ทำท่าทีขึงขัง ขันนอตข้าราชการตำรวจให้ทำงานเพื่อประชาชนคงเป็นแค่ฉากละครในบทบาทที่ตัวเองถนัด เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยเด้งอธิบดีดีเอสไอ เซ่นพิษหมูเถื่อน และตั้งแต่วันนั้นจนบัดนี้ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้ เรื่องค่อยๆเงียบหายสังคมยังคาใจแล้วนักการเมืองรายใหญ่ที่เข้าไปเกี่ยวข้องมีจริงหรือไม่
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า การสั่งเด้ง “2 บิ๊กตำรวจ” ก็คงฝากความหวังกับรัฐบาลชุดนี้ไม่ได้เช่นกัน คงเป็นเรื่องที่ประชาชนต้อง ก้มหน้ายอมรับวิบากกรรมและคาใจกันต่อไป กับฉากละครที่ตัวเองไม่ได้ก่อขึ้น
เช่นเดียวกับนโยบายเรือธงของรัฐบาลที่เจอฝ่ายค้านรุมกระหน่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระที่สอง ที่เจอ สส. ก้าวไกลดาหน้ารุมถล่มสับรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพในการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ การประมาณการรายได้อาจผิดพลาด อีกทั้งรัฐบาลได้ออกนโยบายที่จะกระทบการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลหลายส่วน
ขณะที่นโยบายเรือธง อย่าง ดิจิทัลวอล์เล็ต 1หมื่นบาท ค่าแรง 400 บาท เงินเดือนปริญญาตรี และโครงการแลนด์บริดจ์ไม่ขยับ โดนไล่บี้ แต่สุดท้ายการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ก็ผ่านไปได้ด้วยเสียงข้างมาก สภามีมติผ่านวาระ 2-3 ไปแบบฉลุย
ส่วนของวุฒิสภาก็เตรียมพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 วาระ 2-3 ในวันที่ 26 มี.ค.เมื่อผ่าน วาระ 2-3 ก็จะไปสู่ขั้นตอนการนำเสนอขึ้นทูลเกล้า คาดว่า จะมีผลบังคับใช้ประมาณเดือนเม.ย.จากนั้นก็จะเป็นวาระแห่งการใช้เงิน
ยิ่งใกล้ปิดสภาวันที่ 10 เม.ย.วาระร้อนสภายังไม่จบความดุเดือดเพิ่มดีกรี เพราะรัฐบาลต้องเจอศึกซักฟอก อภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยวุฒิสภาขอเปิดศึกซักฟอกแบบไม่ลงมติ ตามมาตรา153 ในวันที่ 25 มี.ค. โดยมีสว.ตัวตึงขอจองกฐินคอยกระซวก ปัญหา 7 ด้าน ได้แก่1.ปัญหาด้านเศรษฐกิจของชาติและปัญหาปากท้องของประชาชน 2.ปัญหาด้านกระบวนการยุติธรรมและการบังคับใช้กฎหมาย เชื่อมโยงไปถึง “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
3.ปัญหาด้านพลังงาน 4.ปัญหาด้านการศึกษาและสังคม 5.ปัญหาด้านการต่างประเทศและท่องเที่ยว 6.ปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 7.ปัญหาการปฏิรูปประเทศ และการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ
ล่าสุดมีสว.แสดงความจำนงขออภิปรายฯแล้วกว่า 30 คน ลงชื่อขออภิปรายฯมากที่สุด จัดหนักทั้งดิจิทัลวอลเล็ต–แลนด์บริดจ์–หนี้นอกระบบ –แก้รธน.–กระบวนการยุติธรรมโยง‘ทักษิณ’
ต่อด้วยศึกซักฟอกของฝ่ายค้าน ที่ได้ยื่นของเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 ในวันที่ 3 -4 เม.ย.เชื่อว่ามีหมัดเด็ดไว้จัดหนัก “รัฐบาลเศรษฐา” ซึ่งคงหนีพ้น “นโยบาย เรือธงรัฐบาล – ปมสองมาตรฐานจากเคสนายใหญ่” เป็นหัวใจหลัก
งานนี้แม้ไม่ต้องใช้เสียงโหวต แต่การอภิปรายฯของฝ่ายค้านจะประมาทไม่ได้ เพราะช่วงนี้มีกระแสปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) บรรดารัฐมนตรีต้องโชว์ฝีมือ ไม่อย่างนั้นก็อาจจะถูกลมน้ำลาย พาให้นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า ฉวยโอกาสปรับพ้นเก้าอี้รัฐมนตรีได้
ที่ผ่านมามีข่าวลือข่าวลวงเกี่ยวกับกระแสข่าวปรับครม.หลังรัฐบาลทำงานครบหกเดือนเป็นช่วงๆ แม้กระทั่งเก้าอี้รมว.คลัง ที่ “นายกเศรษฐา” ควบอยู่ก็ยังโดนเขย่าแบบรุนแรงหลายริกเตอร์ จนล่าสุด “นายกฯเศรษฐา” ที่เคยสวมบทเซลล์แมนเดินสายต่างประเทศต้องพลิก บทบาทประกาศงดเดินทางต่างประเทศ 2 เดือน พร้อมวางแพลนลงพื้นที่แบบรัวๆ
หลังจากขึ้นเหนือไปเยือนเชียงใหม่ไปพบกับ2 อดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” ท่ามกลางกระแสข่าวการทวงคืนคะแนนเสียง จากพรรคก้าวไกล ที่มากัดเซาะฐานเสียงบ้านเกิดไปเมื่อครั้งเลือกตั้งที่ผ่านมา
แต่ยังไม่วายต้องเจอกับ “พ่อทิม” พิธา ลิ้มเจิรญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่เชียงใหม่ด้วยเช่นกัน ไปดูปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 พร้อมทวงถามยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาจากผู้นำ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว จากรัฐบาล
ส่วน “นายกฯเศรษฐา” หลังจากไปเชียงใหม่แล้วยังได้พาคณะรัฐมนตรี (ครม.)ไปปักหมุดประชุมครม.สัญจร ที่จังหวัดพะเยา เทงบประมาณ 154 ล้านบาทไปเบาๆ เอาใจ เจ้าถิ่น “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ คิวต่อไปเตรียมลงพื้นที่พิษณุโลก ก่อนเยือนโคราช เปิดงานย่าโม – หารือพัฒนาจังหวัด 23-24 มี.ค.นี้
ขณะที่ฟาก “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็พาคณะสส.เพื่อไทย ไปเยือนกัมพูชาตามคำเชิญของ “สมเด็จฮุน เซน” สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน ประธานคณะองคมนตรีกัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรี หลายสมัย เพื่อนสนิท“ทักษิณ” ที่เป็นแขกซุปเปอร์วีไอพี บินมาเยี่ยมถึงบ้านจันทร์ส่องหล้าทันที หลัง“ทักษิณ”ได้รับการพักโทษ
ทำเอาออร่าจับ“อุ๊งอิ๊ง” แบบพุ่งๆ จนกลุ่มจ้องแซะมโนกันไปว่า การเมืองไทยกับการเมืองกัมพูชา จะเป็นโมเดลเดียวกัน คือ มีพ่อดันลูกเป็นนายกรัฐมนตรี
จึงเป็นการเมืองร้อนๆที่ต้องจับตาในช่วงเวลานี้จะประมาทไม่ได้ว่ามีประเด็นอะไรเข้ามาเขย่ารัฐบาลให้สั่นสะเทือนได้หรือไม่!.