คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานฝ่ายบริหารของอียู เสนอ “กฎหมายเอไอ” เป็นครั้งแรกเมื่อเดือน เม.ย. 2564 ทว่าการเร่งดำเนินการควบคุมเอไอ เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในช่วงปลายปี 2565 ไม่นานนักหลังจากแชตบอท “แชตจีพีที” ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ ปรากฏขึ้น และเกิดการแข่งขันอันดุเดือดในด้านเอไอ

เมื่อปีที่แล้ว จีนและสหรัฐ ต่างออกกฎระเบียบเกี่ยวกับเอไอ แต่กฎหมายของอียู มีความครอบคลุมมากที่สุด แม้การเจรจาขั้นสุดท้าย เพื่ออนุมัติกฎระเบียบข้างต้น จะเป็นไปอย่างยากลำบากก็ตาม

อนึ่ง การแบนรูปแบบเอไอที่ถือว่า “มีความเสี่ยงสูงสุด” ในทันที จะเริ่มมีผลในช่วงปลายปีนี้ ขณะที่กฎหมายควบคุมระบบเอไอต่าง ๆ เช่น แชตจีพีที จะมีผลบังคับใช้ภายใน 12 เดือน หลังได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ ส่วนกฎระเบียบอื่นจะมีผลบังคับใช้ ภายในปี 2569

ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ ผู้พัฒนาโมเดลเอไอ จะต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับเนื้อหาที่พวกเขาใช้ ไม่ว่าจะเป็น ข้อความ หรือรูปภาพ เพื่อฝึกระบบเอไอของบริษัทผู้ผลิต และปฏิบัติตามกฎหมายลิขสิทธิ์ของอียู

สำหรับเอไอบางโมเดลที่อียูระบุว่า “มีความเสี่ยงเชิงระบบ” เช่น แชตจีพีที-4 ของโอเพนเอไอ และเจมิไน ของกูเกิล จะมีข้อกำหนดมากกว่า ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจรวมถึงการก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง, การนำไปใช้ในทางที่ผิด ในการโจมตีทางไซเบอร์ในวงกว้าง หรือการเผยแพร่อคติที่เป็นอันตรายทางออนไลน์

นอกจากนั้น บริษัทที่ให้บริการเทคโนโลยีเหล่านี้ จะต้องประเมินและบรรเทาภัยคุกคาม ตลอดจนติดตามและรายงานเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น การเสียชีวิต ต่ออีซี รวมทั้งดำเนินการเพื่อรับประกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ และให้รายละเอียดเกี่ยวกับการใช้พลังงานของโมเดลเอไอของพวกเขา

ทั้งนี้ อียู พิจารณาระบบเอไอจากมุมของของความเสี่ยงต่อประชาธิปไตย, สาธารณสุข, สิทธิ และหลักนิติธรรม โดยผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ใช้ในการศึกษา หรือระบบที่ใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ เช่น น้ำ จะมีภาระผูกพันมากขึ้น ในการบรรเทาอันตรายใด ๆ

หากมีการฝ่าฝืนกฎหมาย อียูสามารถสั่งปรับผู้ให้บริการเอไอ เป็นจำนวนเงินระหว่าง 7.5 – 35 ล้านยูโร (ราว 292 – 1,363 ล้านบาท) หรือระหว่าง 1.5 – 7% ของมูลค่าการซื้อขายทั่วโลกของบริษัท ขึ้นอยู่กับขนาดของการละเมิด

ยิ่งไปกว่านั้น กฎหมายควบคุมเอไอฉบับใหม่ของอียู ระบุว่า ประชาชนควรมีความระมัดระวังในการใช้เอไอ ซึ่งมีเอไอบางประเภทถูกอียูแบน เนื่องจากมันได้รับการพิจารณาว่า “มีความเสี่ยงมากเกินไป” ไม่ว่าจะเป็น การตรวจตราแบบคาดการณ์, ระบบการจดจำอารมณ์ในสถานที่ทำงานหรือโรงเรียน และระบบการให้คะแนนทางสังคม ที่ประเมินบุคคลตามพฤติกรรมของพวกเขา.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP