ท่ามกลางการจับตามองของหลายฝ่าย ด้วยภาพที่ปรากฏออกมา คือ “ทักษิณ” ได้ใส่เฝือกอ่อนที่คอ ขณะที่ไหล่ขวามีอุปกรณ์พยูงแขน สะพายประคองไว้ เพราะพร็อพเยอะจนไม่เนียน และในวันเดียวกัน“ลูกอิ๊งค์” ได้ปล่อยภาพ“ทักษิณ”นั่งริมสระน้ำ จึงมีเสียงอื้ออึง ว่า เป็นการ “ป่วยจริง” หรือ “ป่วยทิพย์”
วันต่อมา (19 ก.พ.) เข้ารับรายงานตัวกับอัยการสูงสุดในสภาพคนป่วยนั่งรถวีลแชร์ไปฟังคำสั่งอัยการสูงสุดในคดี 112 ที่ถูกกองทัพบกฟ้อง ซึ่งอัยการสูงสุด (อสส.)มีคำสั่ง ให้มีการสอบสวนเพิ่มเติมตามที่นายทักษิณได้ร้องขอความเป็นธรรม และนัดมาฟัง คำสั่งคดีในวันที่ 10 เม.ย.ก่อนปล่อยชั่วคราว โดยมีหลักประกันเป็นสมุดเงินฝากธนาคาร 5 แสน
ซึ่งก็เกิดเหตุการณ์ดราม่าขึ้นมาอีกระลอก เมื่ออธิบดีอัยการสำนักงานคดีอัยการ “นายปรีชา สุดสงวน” แถลงภายหลัง นายทักษิณ เข้ารายงานตัว ว่า “สภาพท่าน ตามที่เห็น ผมว่าป่วยขั้นวิกฤติเลยนั่งวีลแซร์มา ผมนั่งคุยกับท่านไม่มีเสียงเลยสภาพดูแล้วป่วยจริงๆจะเดินไม่ไหว”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ทักษิณ” คือ ผู้มีบารมีตัวจริงเสียงจริง แม้จะยังสลัดคดี 112 ไม่พ้นตัว แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้กุมอำนาจ เคาะได้ทุกดีล และมีคนในรัฐบาลหลายคนเตรียมเข้าคิวกันที่จะมาพบ แต่ทันทีที่ได้พักโทษ สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา นั่งเครื่องส่วนตัว บินมาเยี่ยมถึงบ้านจันทร์ส่องหล้ากินเที่ยงด้วยกัน แถมยังเชิญ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไปเยือนกัมพูชา เพื่อกระชับสัมพันธ์ ถือเป็นคิวแรกสำคัญสัญญาร้อนทันที
เจอดราม่าถล่มในโลกโซเชียลกับแบบฉ่ำๆ รัวๆ บางก็ว่าการละครไม่สมบทบาท เพราะจากภาพต่างๆ ที่ปรากฏออกมาไม่เหมือนกันอาการป่วยไม่น่าจะเข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษ
ทำเอาบรรดาพลพรรคเพื่อไทย ต้องออกโรงป้องนายใหญ่ดาหน้ากันออกมาโต้แก้ต่าง แต่ดันไปคนละทิศละทางทั้ง “เสี่ยอ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ที่ออกมาบอกว่าเอ็นไหล่ขาด ขณะที่“บิ๊กทิน“สุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม บอกกระดูกหัก ขณะที่“ดนุพร ปุณณกัณฑ์” โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเกี่ยวกับอาการป่วยของ”ทักษิณ” ว่า เป็นเพราะกระดูกคอเสื่อม เอ็นเปื่อยยุ่ย ปอดทำงานไม่ครบร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากติดโควิด 3 ครั้ง การพูดไม่ตรงยิ่งตอกย้ำให้สังคมเกิดคำถามสรุปแล้วป่วยจริงหรือป่วยทิพย์กันแน่
”ทักษิณ” จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนของพรรคเพื่อไทยในอนาคต เพราะการกระทำอาจนำไปสู่วิกฤติศรัทธาต่อระบบในกระบวนการยุติธรรม ทำให้เห็นว่าความยุติธรรมในประเทศนี้ไม่ได้มีอยู่จริง“คนรวยรอดพ้นคนจนต้องติดคุก” เกิดความเหลื่อมล้ำ 2 มาตรฐาน
งานี้ “เดอะต๋อม” ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล สวมบทเข้มจี้ให้เปิดผลตรวจของแพทย์ พร้อมแซะด้วยว่า หากรัฐบาลต้องการจะอำนวยความยุติธรรมให้แก่นายทักษิณ ในฐานะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง หรือการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง แนวทางดำเนินการต้องไม่ใช่การตอกย้ำ ระบบสองมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม หรือส่งเสริมให้ใครคนใดคนหนึ่งได้รับอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ในทางกฎหมาย แต่ต้องยึดแนวทางอำนวยความยุติธรรมให้ทุกคนอย่างทัดเทียมกัน
ขณะที่คนเสื้อแดง ก็ยังมีทั้งกลุ่มหนุน แต่ต้องยอมรับว่ามีบางส่วนได้เปลี่ยนใจไปเป็นดอมส้มแล้ว และจากสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้มวลชนเสื้อแดงแปรเปลี่ยนลดลง โดยกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมีการขอให้หน่วยงานองค์กรอิสระ ตรวจสอบผู้ที่เกี่ยวข้องว่าได้ทำไปตามกฎหมายหรือไม่กับการที่ “ทักษิณ” ได้พักโทษโดยไม่ได้เคยนอนคุกแม้แต่คืนเดียว
ส่วนบรรดาด้อมส้มตัวจริงพร้อมลุกขึ้นมากระแทกกับความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นฝีฝังรากลึกในสังคมไทยมานาน จนมีวลีเด็ด “คนรวยรอดคนจนนอนคุก” จุดนี้กลายเป็นจุดชี้ให้เห็นว่า แม้จะอยู่ในศูนย์กลางอำนาจ แต่ไม่ได้ในอยู่ศูนย์กลางหัวใจประชาชน ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ไม่มีการชี้แจงให้เข้าใจอย่างท่องแท้ ก็จะทำให้ความนิยมของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลในฝ่ายอนุรักษ์นิยม ลดลงแน่นอน
เทียบได้กับ 3 สามแกนนำเยาวชน เนติพร หรือ บุ้ง กลุ่มทะลุวัง ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน และ ณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร หรือ แฟรงค์ ที่ถูกจับป่วนขบวนเสด็จ ประกาศอดข้าวมากว่าสัปดาห์อาการทุกคนย่ำแย่ ถือเป็นนาทีเป็นนาทีตายของเยาวชน และจะกลายเป็นเชื้อไฟปะทุปลุกให้ความขัดแย้งเป็นหลุมลึกมากขึ้น จนส่งผลต่อชัยชนะต่อสงครามครั้งใหม่ของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มอนุรักษ์นิยม
อำนาจ 4 ปีของรัฐบาลชุดนี้ถ้าปล่อยให้ประชาชน อยู่ในสภาพของความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม ก็มีวันหมดอายุไขลงได้ และคิดได้ง่ายๆเลยสงครามที่จะเกิดขึ้นในครั้งหน้า คะแนนนิยมถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มชัดเจน คือ กลุ่มด้อมส้ม เป็นฐานคะแนนใหญ่ ที่มีอุดมการณ์แน่วแน่พร้อมเทคะแนนให้พรรคก้าวไกล หรือชื่อพรรคอื่นหากพรรคก้าวไกลถูกยุบ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งจะต้องถูกแชร์กันระหว่างกลุ่มของพรรคเพื่อไทยกับกลุ่มอนุรักษ์นิยม สัดส่วนการเมืองคงคิดได้ไม่ยากโอกาสเกิดส้มทั้งแผ่นดินอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แต่รัฐบาลยังมีเวลาดิ้น คือ การโชว์ฝีมือแก้เศรษฐกิจให้ทุกคนกินอิ่มนอนอุ่น แต่ภาพที่เห็นตอนนี้ คือ “นายกเศรษฐา” เปิดฉากทะเลาะกับแบงค์ชาติรายวันกดดันให้แบงค์ชาติและคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ประกาศลดดอกเบี้ยเลยเจอ “ผู้ว่าแบงค์ชาติ” ศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกมาเล่นบทแข็งอีกระลอก แจกแจงว่า “ถ้าเราลดอัตราดอกเบี้ยลงก็จะไม่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนจับจ่ายมากขึ้น หรือทำให้บริษัทจีนนำเข้าปิโตรเคมีจากไทยมากขึ้น หรือทำให้รัฐบาลต้องกระจายงบประมาณเร็วขึ้น นี่คือ 3 ปัจจัยหลักที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว”
ท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่เกิดภาวะเงินเฟ้อติดลบ 4 เดือนติดต่อกัน การท่องเที่ยวซบเซาการส่งออกหดตัว ทั้งหมดจึงเป็นแรงกดดัน ไปยัง“นายกเศรษฐา” ที่เดินหน้าปั่นงาน แต่ตกอยู่ในสภาพหนูติดจั่นทำงานเท่าไหร่ แต่ประชาชนยังจับต้องผลงานไม่ได้ นี่ยังไม่ได้ พูดถึงโครงการดิจิทัลวอล์เล็ต 1 หมื่นบาทที่ถูกแช่แข็งไปอีกหนึ่งเดือน
นอกจากนี้ยังได้เห็นปัญหาการปัก “หมุด ส.ป.ก.4-01” กลางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา จนต้องมีคำสั่งเด้ง 6 เจ้าหน้าที่ส.ป.ก. ร้อนถึง“นายกฯเศรษฐา” เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพย์ฯ อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานฯและพล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหาร มาเคลียร์ปัญหาปมร้อนอย่างด่วนๆ
งานนี้ “ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร” ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ ก็ไม่แผ่วได้ที่ออกมาปูดอีกด้วย ว่า ขณะนี้มีการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติกว่า1.5แสนไร่ เหมือนเป็นการไปปักหมุดอยู่ในหัวใจประชาชนจึงเป็นวาระร้อนที่ต้องเร่งเคลียร์คัดชัดเจน
และยังมีอีกเรื่องที่ร้อนระอุ คือ ศึกใน“กรมปทุมวัน”จากเว็บพนันออนไลน์ “คดีมินนี่” ที่มีนายตำรวจหลายนายเข้าไปเกี่ยวข้อง ล่าสุด “บิ๊กเต่า”พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบ.ชก.ในฐานะรองหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ออกมาซัดเต็มข้อ ชี้คดีนี้แบ่งออกเป็น 2 สำนวน คดีแรก 61 คน และมีตำรวจ 8 นายรวมอยู่ด้วย ส่วนอีก 1 คดี เป็นการสืบสวนขยายผลจากคดีแรก พบว่ามีชื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษมาตรา 149 และมาตรา 157 ด้วย รวมกับพวกที่เป็นตำรวจอีก 5 นาย หลังเจอหลักฐานเส้นทางการเงินเชื่อมโยงไปถึงเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องร้อนที่ต้องจับตาแมวเก้าชีวิตอย่าง“บิ๊กโจ๊ก”จะหลุดบ่วงครั้งนี้ได้หรือไม่ และมีกระบวนการเตะตัดขาอนาคตดับฝันเก้าอี้ผบ.ตร.หรือไม่ และ“กรมปทุมวัน” จะสั่นสะเทือนกันไปถึงระดับไหน “นายกฯเศรษฐา”จะมีบารมีพอในการหย่าศึกครั้งนี้หรือไม่และจะจบอย่างไร!.