หลายครั้งที่บางคนมักจะ “หมุนพวงมาลัยจนสุดแล้วค้างทิ้งไว้นานๆ” ไม่ว่าจะหมุนพวงมาลัยไปทิศทางไหนก็ตาม แต่รู้หรือไม่ว่าอันที่จริงแล้วการที่หมุนพวงมาลัยจนสุดแล้วค้างทิ้งไว้นานๆ นั้น ทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์มากกว่าที่คุณคิด
โดย “การหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวจนสุด” และออกตัวแรง มีอันตรายและมีผลเสียต่อระบบช่วงล่าง โดยเฉพาะเพลาขับสำหรับรถขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งส่งผลโดยตรงไปที่ลูกปืนของหัวเพลา หรือระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ (ในรถที่ใช้แบบน้ำมันไฮดรอลิก)
การที่หมุนพวงมาลัยจนสุดแล้วค้างทิ้งไว้นาน จะทำให้น้ำมันเพาเวอร์มีความร้อนสูง และโอกาสที่จะทำให้ระบบของพวงมาลัยเพาเวอร์ แบบที่ใช้ระบบไฮดรอลิกในการสร้างความดันน้ำมัน เกิดความเสียหายได้
และถ้าหักพวงมาลัยจนสุดและแรง จะเกิดแรงดันของน้ำมันเพาเวอร์ ที่ไหลย้อนกลับสูงมาก ไปดันที่ปั๊มน้ำมันเพาเวอร์ทำให้เกิดการซึมออกมาจากปั๊ม และนอกเหนือการซึม ก็เกิดการรั่วตามสายยาง และนอกจากนั้น จะทำให้ข้อต่อ ซีลยาง หรืออะไหล่บางตัวเสียหาย และต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก (ในรถที่ใช้แบบน้ำมันไฮดรอลิก)
นอกจากนี้ “หมุนพวงมาลัยตอนรถหยุดนิ่ง” ยังทำให้ดอกยางรถยนต์ สึกเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากได้รับแรงเสียดสีเต็มๆ กับพื้นถนน ซึ่งการหมุนพวงมาลัยแบบวิธีนี้ ยังจะทำให้มอเตอร์พวงมาลัยไฟฟ้า ทำงานหนักกว่าปกติ เสียเร็วขึ้น และอาจต้องเปลี่ยนทั้งชุด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง
เทคนิคการหมุนพวงมาลัย
ถ้าต้อง “หมุนพวงมาลัยค้างไว้” ก็ไม่ควรที่จะหมุนพวงมาลัยจนสุด แต่ถ้ารู้ว่าหมุนจนสุดแล้ว ให้ผ่อนแรงมือออกจากวงพวงมาลัย หรือคืนพวงมาลัยเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาหรือได้รับความเสียหายในประเด็นดังกล่าวในภายหลังครับ…
………………………..
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]