“ชีวิตมีขึ้นมีลง” เป็นประโยคที่เกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับนักกีฬา ถึงแม้จะทุ่มเท ฝีมือเก่งฉกาจขนาดไหน แต่บางครั้งผลงานก็ไม่อาจเป็นดั่งที่ใจเราคาดหวัง
สิ่งสำคัญอยู่ตรงที่เมื่อขึ้นแล้ว ต้องรักษามันเอาไว้ให้ได้ แต่ถ้าถึงช่วงขาลง ก็ต้องทำจิตใจและร่างกายให้พร้อมที่สุด เพื่อพาตัวเองกลับไปสู่จุดสูงสุดให้ได้อีกครั้ง
“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และ “ปอป้อ” ทรัพยสิรี แต้รัตนชัย นักแบดมินตันคู่ผสมขวัญใจแฟนขนไก่ชาวไทย เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนจากการต้องเจอวัฏจักรของชีวิตนักกีฬา เมื่อทั้งคู่ที่เป็นมือท็อปของโลกและเคยขึ้นมือ 1 ของโลก รวมถึงเป็นเจ้าของแชมป์โลก เเต่ไม่สามารถคว้าแชมป์ได้นานถึง 8 เดือน นับตั้งแต่แชมป์ “มาเลเซีย มาสเตอร์ส 2023” ที่ประเทศมาเลเซีย จนอันดับหล่นลงเรื่อยๆ
ก่อนจะมาปลดล็อกด้วยการช่วยกันสู้จนกลับมาคว้าแชมป์รายการใหญ่ ระดับเวิลด์ทัวร์ซูเปอร์ 750 “โยเน็กซ์ ซันไรส์ อินเดีย โอเพน 2024”
แต่ที่สำคัญมากกว่าการคว้าแชมป์คือ “ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยม” ที่คุ้นตาได้กลับคืนมาแล้ว
เมื่อกลับมาขึ้นโพเดียมสูงสุดรับรางวัลอีกครั้ง บาสและปอป้อมองย้อนกลับไป ซึ่งก็ได้คำตอบว่า ไม่สามารถรักษามาตรฐานที่เคยเป็นเอาไว้ได้ แผนการเล่น บางทีก็แก้เกมเขาไม่ได้ และยังถูกคู่แข่งศึกษาวิธีการเล่นมาเป็นอย่างดี เพราะเล่นด้วยกันมานาน ย่อมต้องถูกอ่านจุดแข็งจุดอ่อนมาตลอด
นอกจากนี้ความเร็วของลูก รูปแบบเกมที่เล่นกันเร็วขึ้น และคู่ต่อสู้ที่ยกระดับมากขึ้นหลายต่อหลายคู่ รวมทั้งคู่หน้าใหม่จากหลายๆ ประเทศที่เติบโตขึ้นมา ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ทั้งคู่ต้องพยายามแก้ไขและปรับตัวให้ทัน
“สมัยโน้นกับตอนนี้ สปีดลูกไม่เท่ากัน คู่ต่อสู้ก็เร็วขึ้นด้วย เราก็ต้องพยายามฝึกซ้อมเพิ่มสปีดลูกมากขึ้น” ปอป้อ กล่าว
ทั้งคู่ไม่เคยกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเชื่อในความพยายาม ความมีวินัย และความทุ่มเทในการฝึกซ้อมว่า จะทำให้กลับมาได้ นอกจากนี้ยังพยายามมองในแง่ดีว่า เมื่อเราเคยไปอยู่ในจุดที่ดีมาได้แล้ว เราก็ต้องกลับไปให้ได้อีกครั้ง อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะดีขึ้นไปได้ดีกว่าวันที่เคยดีที่สุดอีกด้วย
“เราพยายามหาทางเพื่อกลับมาให้ได้ สร้างความมั่นใจให้ตัวเองและมั่นใจว่าจะกลับมาได้ ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง ต้องคิดในแง่บวก” ปอป้อ กล่าว
ดังนั้นสิ่งที่บาสและปอป้ออยากบอกกับทุกคนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ไม่เป็นดั่งใจหวังคือ การเชื่อมั่นในตัวเอง ความทุ่มเททำงานหนักอย่างที่เคยทำมาตลอด ต้องรู้เขารู้เรา เมื่อทำได้ดีแล้วต้องรักษามาตรฐานเอาไว้ให้ได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะคืนฟอร์มที่ดีได้แล้ว ก็อาจจะเจอช่วงเวลาที่ไม่ดีได้อีก ซึ่งก็ต้องมาพิจารณากันว่า วันที่แพ้ เราแพ้เพราะอะไร แพ้แบบไหน สู้ได้แค่ไหน ไม่ได้เอามาคิดว่าเมื่อแพ้แล้วต้องไปมีผลกระทบกับแมตช์ต่อไป
“รู้สึกภูมิใจในตัวพี่ปอป้อและทีมของเราทุกคน พี่ปอป้อช่วยลบข้อผิดพลาดของตัวบาสได้เยอะมากๆ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คู่เรากลับมาคว้าแชมป์ได้อีกครั้ง แชมป์นี้เป็นการพาคู่ของเรากลับมามีความมั่นใจมากขึ้น และแชมป์นี้ก็มาจากการที่เราพยายามปลุกใจ ให้กำลังใจทั้งตัวเองและคู่ของเรา เพื่อให้ได้กลับมามีผลงานที่ดีขึ้นให้ได้” บาส กล่าว
ส่วนเป้าหมายหลักในปีนี้คือโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสนั้น ทั้งคู่บอกว่าอยากจะสร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญรางวัลแรกให้กับวงการแบดมินตันไทย แต่ก็ไม่อยากคาดหวังมากเกินไปเพราะจะเป็นการกดดันตัวเอง
สำหรับแมตช์ต่อไป บาสกับปอป้อจะลงแข่งต่อหน้าคนไทยในรายการ “ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” ระหว่างวันที่ 30 ม.ค.-4 ก.พ.67 นี้ ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ ซึ่งแน่นอนว่าการได้เล่นในบ้าน เรื่องของเสียงเชียร์ นักตบขนไก่ไทยจะได้เปรียบคู่แข่งแน่นอน และทั้งคู่ก็อยากให้แฟนๆ ไปให้กำลังใจนักแบดมินตันไทยกันเยอะๆ
ซึ่งเป้าหมายในรายการนี้ ทั้งคู่ยืนยันจะทำเต็มที่ในทุกๆ รอบเหมือนเดิมที่แข่งขันในทุกรายการ อยากจะเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศให้ได้ก่อน ซึ่งตอนนี้ถือว่าพร้อมแล้ว และการกลับมาได้แชมป์อีกครั้ง บวกกับเสียงเชียร์จากแฟนๆ น่าจะช่วยให้ฮึกเหิมและสนุกกับการแข่งขันมากๆ
บาสและปอป้อเป็นตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การปลุกตัวเองจากความผิดหวัง ด้วยพลังจากภายในใจ และกำลังใจจากภายนอก เป็นเรื่องที่สำคัญ เมื่อใจมา ร่างกายพร้อม ทำได้ตามแผนที่วางไว้ ความสำเร็จก็รอเราอยู่ข้างหน้า.