เปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์ ที่งาน “เทศกาลหนังเมืองเวนิส” ครั้งที่ 78 ไปแล้ว สำหรับ “สเปนเซอร์ (Spencer )” ภาพยนตร์อิงชีวประวัติที่หลายคนรอคอย และถูกจับตามองจากเหล่าแฟนคลับราชวงศ์อังกฤษ โดยหนังจะเล่าอีกมุมชีวิตของ “ไดอาน่า สเปนเซอร์ เจ้าหญิงแห่งเวลส์” บุคคลสำคัญระดับโลก ที่ยังอยู่ในความทรงจำของหลายคน และชีวิตถูกหยิบยกนำมาสร้างเป็นหนังและซีรี่ส์มากมาย แต่ครั้งนี้ “สเปนเซอร์” จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงวันหยุดที่ “เจ้าหญิงไดอาน่า” ได้ใช้ช่วงเวลาวันคริสต์มาส กับเหล่าสมาชิกราชวงศ์อังกฤษ เป็นเวลา 3 วันตั้งแต่วันก่อนวันคริสต์มาส จนถึงวันเปิดกล่องของขวัญ ที่คฤหาสน์แซนดริงแฮม ในเมืองนอร์ฟอล์ก ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจแยกทางกับ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ในช่วงต้นปี 1991
ผลงานการกำกับของ ปาโบล ลาร์เรน ผู้กำกับฝีมือดีชาวชิลี โดยได้นางเอกคนดัง คริสเตน สจ๊วร์ต สวมบท “เจ้าหญิงไดอาน่า” ซึ่งเธอถ่ายทอดบทบาทนี้ได้อย่างน่าประทับใจ ร่วมด้วย แจ็ค ฟาร์ทธิง รับบทเป็น “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” และยังมี ทิโมธี สปอลล์, ฌอน แฮรีส, แซลลี ฮอว์กินส์ และ ริชาร์ด แซมเมล เป็นต้น และเพื่อเป็นการอุ่นเครื่อง “มูฟวี่โซน” จะพาไปเจาะลึก เกี่ยวกับเรื่องราวที่น่าสนใจของหนังเรื่องนี้กัน
เจาะรายละเอียดพล็อตเรื่อง ที่เล่าในอีกมุม
สำหรับ “สเปนเซอร์” พูดถึงเรื่องราวช่วงสุดสัปดาห์ ขณะที่ “เจ้าหญิงไดอาน่า” ใคร่ครวญถึงจุดจบชีวิตรักของเธอกับ “เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์” ในช่วงเฉลิมฉลองวันหยุดคริสต์มาสกับราชวงศ์ เรื่องย่ออย่างเป็นทางการจาก “Neon and Topic Studios” เผยว่า “ในเดือนธันวาคม ปี 1991 ความสัมพันธ์ของเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์เริ่มจืดจางลง แม้ว่าจะมีข่าวลือเรื่องการหย่าร้างมากมาย แต่เทศกาลคริสต์มาสที่ตำหนักซานดริงแฮมก็ยังคงสงบสุข มีการสังสรรค์ ยิงปืน และล่าสัตว์ เจ้าหญิงไดอาน่ารู้จักเกมนี้เป็นอย่างดี และในปีนี้ทุก ๆ อย่างจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง” สำหรับ “สเปนเซอร์” จะไม่ได้พูดถึงการจากไปอันน่าเศร้าของ “เจ้าหญิงไดอาน่า” แต่จะชวนให้พิจารณาความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกับพระสวามี และความรักที่มีต่อลูกชาย อย่าง “เจ้าชายวิลเลียม” และ “เจ้าชายแฮร์รี่”
ที่มาของชื่อ “สเปนเซอร์ ”
ผู้กำกับชาวชิลี ปาโบล ลาร์เรน ได้เผยถึงที่มาของชื่อเรื่องอย่างลึกซึ้งว่า “เจ้าหญิงไดอาน่าเป็นไอคอนที่ทรงพลัง ที่ผู้คนนับล้าน ไม่ใช่แค่เพียงผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้คนมากมายทั่วโลกนั้นรู้สึกเห็นใจในชีวิตของเธอ เราตัดสินใจเข้าสู่เรื่องราวเกี่ยวกับตัวตน และการตัดสินใจของผู้หญิงคนนึง ที่ไม่ได้ต้องการเป็นราชินี เธอเป็นผู้หญิงผู้ที่อยู่ในเส้นเรื่องการเดินทางของหนังเรื่องนี้ ที่จะตัดสินใจและตะหนักว่าเธอนั้นต้องการที่กลับไปเป็นผู้หญิงที่เคยเป็น ก่อนจะเจอกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มันเป็นการค้นหาตัวเอง และเกี่ยวกับการเข้าใจบางอย่างที่น่าจะสำคัญที่สุดสำหรับเธอ นั่นก็คือชีวิตที่มีความสุขกับตัวเอง ด้วยตัวเธอเอง นี่จึงเป็นเหตุผลที่หนังเรื่องนี้ใช้ชื่อเรื่อง “สเปนเซอร์” ซึ่งเป็นนามสกุลของเธอ ก่อนที่เธอจะได้มาเจอกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
สำหรับฉากถ่ายทำใน 2-3 วันที่แซนดริงแฮมนั้นอัดแน่นมาก ๆ พวกเขาใช้เวลาในช่วงคริสต์มาสที่นั่นมาหลายปี ซึ่งนั่นเป็นจุดที่เราได้สร้างภาพยนตร์ขึ้นมาในช่วงต้นยุค 90 มันเป็น 3 วันที่อัดแน่นสุด ๆ และพวกเราจะเข้าใจในสิ่งที่เธอต้องการและสิ่งที่เธอจะทำ มันเป็นบทที่มีพลังและงดงามมาก ๆ ซึ่งเขียนโดย สตีเวน ไนท์ มันน่าทึ่งมากและยังจับในสิ่งที่ผมค้นพบอยู่เสมอ นั่นคือความงดงามอย่างมหาศาลที่อยู่ในพลังของเจ้าหญิงไดอาน่า เมื่อเธอมีเวทีของโลกใบนี้ สิ่งที่เธอต้องการพูดในเรื่องราวของเธอเอง เธอจะแข็งแกร่งได้มากแค่ไหน เมื่อเธอจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองไปสู่สิ่งที่แตกต่าง ในการค้นหาเส้นทางของตัวเอง มันเป็นเรื่องราวที่โรแมนติกของผู้หญิงคนนึงที่ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผู้ที่ค้นพบแสงสว่างและทางออกของปัญหาครับ”
“ปาโบล ลาร์เรน” หวนคืนสู่หนังอัตชีวประวัติ
สำหรับ ปาโบล ลาร์เรน ผู้กำกับชาวชิลี สร้างชื่อด้วยผลงานแนวอัตชีวประวัติ ซึ่งเขาเคยทำให้ นาตาลี พอร์ตแมน ดังเป็นพลุแตก ในบทของ “แจ็กกี้ เคนเนดี้ โอนาซิส” จากเรื่องหนัง “Jackie” ในปี 2016 ที่เดินหน้าคว้ารางวัลการันตีความเยี่ยมมากมาย อาทิ จาก เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเวนิส กับ “รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” เป็นต้น รวมทั้งเขายังเป็นเจ้าของผลงาน หนังดราม่ากลางเมือง อย่าง “No” ที่ได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศ รวมถึงล่าสุดเพิ่งฝากผลงานในซีรี่ส์สยองขวัญ “Lisey’s Story” สร้างจากนวนิยายขายดีของ สตีเฟน คิง ที่ฉายทาง Apple TV+ ด้วย
อย่างไรก็ตามการกลับมากำกับหนังแนวอัตชีวประวัติครั้งนี้ของ ปาโบล ลาร์เรน เขามุ่งความสนใจไปที่ช่วงเวลา 3 วันในชีวิตของ “เจ้าหญิงไดอาน่า” เท่านั้น โดย ลาร์เรน เผยว่า “มันเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ 3 วันในชีวิตของเธอ และในระยะเวลาอันสั้นมาก ๆ นั้นคุณจะมองเห็นในมุมที่ใหญ่ขึ้นและกว้างขึ้นว่าเธอเป็นเช่นไร เราทุกคนรู้ชะตากรรมของเจ้าหญิงไดอาน่าดี ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ และเราไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น เราจะอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้ชิดกว่า ซึ่งเธอสามารถแสดงออกได้ว่าเธอต้องการไปที่ไหน และต้องการเป็นใคร”
“คริสเตน สจ๊วร์ต” กับบท “เจ้าหญิงไดอาน่า” ที่สร้างความฮือฮา
ทันทีที่มีปล่อยรูป คริสเตน สจ๊วร์ต ในคาแรกเตอร์ “เจ้าหญิงไดอาน่า” ก็สร้างเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก เพราะเธอนั้นช่างดูคล้ายกับ “เจ้าหญิงไดอาน่า” มากจริง ๆ ซึ่ง คริสเตน ยังคงเป็นนักแสดงชาวอเมริกัน เพียงคนเดียวที่ได้คว้า รางวัลซีซาร์ (Cesar Award) ในฝรั่งเศส จากการแสดงเรื่อง “Clouds of Sils Maria” นั่นน่าจะการันตีว่าเธอจะถ่ายทอดตัวละครนี้ ที่มีในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างดี
คริสเตน สจ๊วร์ต บอกว่า เธอไม่ได้รู้สึกกดดันเลยในการแสดง เพื่อที่จะเป็น “เจ้าหญิงไดอาน่า” ที่สมบูรณ์แบบ นักแสดงสาวเผยว่า “เธอเป็นคนที่ไม่หยุดนิ่ง เป็นกันเอง งดงาม มีความเห็นอกเห็นใจ และมีพลังความอบอุ่นแผ่ออกมา แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ เธอกำลังปกป้องบางสิ่งอยู่ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอเดินเข้าไปห้องและทั้งแผ่นดินก็เริ่มสั่นไหว ดังนั้นฉันจึงรู้เลยว่าไม่มีทางที่จะแสดงส่วนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งมันน่าจะง่ายกว่า ที่ไม่ต้องรู้สึกถูกทำให้กลัว ฉันคงเป็นได้เพียงแค่เวอร์ชั่นของฉัน และหวังว่าจะได้เรียนรู้ทุกอย่างจากเธอ ซึมซับความเป็นเธอ และหลอมรวมการเป็นทั้งฉันและเธอเข้าด้วยกัน ในแบบวิธีที่แปลก ๆ นี้ มันจะกลายเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดค่ะ”
รวมทั้งมีส่วนนึงของ “เจ้าหญิงไดอาน่า” ที่ คริสเตน สจ๊วร์ต รู้ดีว่าเธอต้องทำให้ถูกต้อง นั่นคือประสบการณ์ในการเป็นแม่ ซึ่งเธอเผยว่า “ฉันคิดว่าความแข็งแกร่งและพลัง รวมทั้งความดุของเธอ ซึ่งมันเป็นพละกำลังตามธรรมชาติที่ไม่สามารถหยุดได้จริง ๆ มันจะออกมายามเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าอยู่กับลูก ๆ ของเธอ เธออาจไม่ใช่คนที่ปกป้องตัวเองได้ดีนัก แต่เธอเป็นคนที่ปกป้องลูก ๆ ได้ดีมากจริง ๆ และหากคุณไม่เข้าใจสิ่งนี้อย่างถูกต้อง คุณก็จะไม่เข้าใจเธอได้อย่างถูกต้องเช่นกันค่ะ”
ทำไมต้อง “คริสเตน สจ๊วร์ต”
ทั้งนี้ ปาโบล ลาร์เรน ได้เปิดใจเกี่ยวกับสาเหตุที่เขาเลือก คริสเตน สจ๊วร์ต มารับบทนำว่า “คริสเตนเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ ในการจะทำสิ่งนี้ให้ดีเราจำเป็นต้องมีสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ในภาพยนตร์ นั่นก็คือความลึกลับ คริสเตนสามารถเป็นได้หลายอย่าง เธอมีทั้งความลึกลับมาก เปราะบางมาก และแข็งแกร่งมากในท้ายที่สุดก็ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องการ ความหลากหลายที่รวมกันเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงเธอ วิธีที่เธอตอบรับกับบทและการเข้าถึงตัวละครของเธอ มันสวยงามมากที่ได้เห็น ผมเชื่อว่าเธอต้องสร้างผลงานที่น่าทึ่ง และน่าสนใจในเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน เธอมีความเป็นธรรมชาติมากครับ”
สำเนียง “เจ้าหญิงไดอานา” เรื่องท้าทายของ “คริสเตน สจ๊วร์ต”
การเตรียมตัวสำหรับมารับบทบาทใน “สเปนเซอร์” อาจเป็นความฝันที่กลายเป็นจริงของผู้ที่คลั่งไคล้ในราชวงศ์ หรือไม่ก็เป็นการใช้ชีวิตอยู่ในฝันร้าย คริสเตน สจ๊วร์ต นักแสดงสาวชาวอเมริกัน ได้พูดถึงเรื่องสำเนียงแบบอังกฤษ ผ่าน นิตยสาร InStyle โดยเธออธิบายถึงน้ำเสียงและสำเนียงของ “เจ้าหญิงไดอาน่า” ที่ยากจะเลียนแบบว่า “สำเนียงนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวสุดไปเลยค่ะ เพราะว่าผู้คนคุ้นเคยเสียงนั้นเป็นอย่างดี และยังเป็นเสียงที่มีความแตกต่างชัดเจน มีความพิเศษไม่เหมือนใครมาก ๆ ซึ่งฉันมีโค้ชภาษาถิ่นมาฝึกสอน และฉันได้อ่านชีวประวัติมาแล้วสองเรื่องครึ่ง และคงอ่านจบก่อนจะไปเล่นหนังจริง ๆ มันเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้าที่สุดเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้น และฉันไม่ต้องการแค่เล่นเป็นเจ้าหญิงไดอาน่า ฉันอยากรู้จักเธอถึงเนื้อแท้ ฉันไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับการเล่นบทนี้มานานแล้วค่ะ”
ฉายรอบปฐมทัศน์โลก ที่ “เทศกาลภาพยนตร์เวนิส”
ภาพยนตร์ “สเปนเซอร์” ได้เปิดตัวฉายรอบปฐมทัศน์โลกไปแล้วใน “เทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส” ครั้งที่ 78 ที่เมืองเวนิส อิตาลี โดย คริสเตน สจ๊วร์ต ได้ให้สัมภาษณ์ในงานเทศกาลหนังเมืองเวนิสครั้งนี้ว่า “เธอเป็นผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก ถูกถ่ายรูปมากที่สุดในโลก ฉันเคยลิ้มรสการอยู่ในจุดที่สูงเช่นกัน แต่มันไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงเลยกับการเป็นคนที่ถูกมองเป็นสัญลักษณ์ เป็นตัวแทนสำหรับคนทั้งประเทศ และทั้งโลก”
นอกจากนี้นางเอกคนดังยังพูดถึงการสวมบทบาทการเป็น “เจ้าหญิงไดอาน่า” ที่ถูกคาดหวังและต้องปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบของชีวิตในวัง โดยไม่มีอำนาจตัดสินใจได้อย่างอิสระว่า “ฉันพอเข้าใจความรู้สึกนะคะ แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีใครสามารถเข้าใจสิ่งที่เจ้าหญิงรู้สึกได้จริง ๆ หรอกค่ะ” และ สจ๊วต ยังได้ทิ้งท้ายว่า “หนังเรื่องนี้ไม่มีการให้ข้อมูลใหม่ ไม่ได้กล่าวอ้างว่ารู้อะไรบางอย่าง เป็นเพียงการจินตนาการถึงความรู้สึก ที่ฉันคิดว่าเกิดจากการตีความในแบบของฉันเท่านั้น แต่ไดอาน่าเป็นผู้หญิงที่อยากให้ผู้คนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันนะคะ และฉันคิดว่าความปารถนาของหนังเรื่องนี้ คือการลดช่องว่างนั้นค่ะ”
สำหรับ “สเปนเซอร์” มีแพลนเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ที่สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5 พ.ย. นี้ ขณะที่ประเทศไทยนั้น “เอ็ม พิคเจอร์ส” ได้ซื้อลิขสิทธิ์หนังเรื่องนี้แล้ว และรอลุ้นเข้าฉายในปีหน้า
ภาพ (PHOTO) : NEON / Justjared