จีนที่เผชิญกับการแยกตัวทางเศรษฐกิจ เป็นประเด็นที่ถูกกล่าวถึงซ้ำหลายครั้ง โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ รวมถึงคู่แข่งของเขาจากพรรครีพับลิกัน ซึ่งนำโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ อีกทั้งการเลือกตั้งทั่วไปของสหรัฐในปีนี้ จีนมีแนวโน้มที่จะเป็นหัวข้อนโยบายต่างประเทศหลักเช่นกัน

กระนั้น นักวิเคราะห์หลายคนกล่าวว่า ความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องมีความชัดเจนเสมอไป โดยชี้ถึงความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งทำให้การระบุกระแสการค้าระหว่างสองมหาอำนาจของโลก เป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งขึ้น

เมื่อมองอย่างผิวเผิน มันเป็นเรื่องที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เศรษฐกิจของสหรัฐกับจีน กำลังแยกออกจากกันอย่างแน่นอน แม้การนำเข้าของจีนไม่ได้ลดลงอย่างรวดเร็วมากนัก แต่ในแง่ของส่วนแบ่งการตลาด การลดลงนั้นมีนัยสำคัญ

นางแคโรไลน์ ฟรอยด์ นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้าระหว่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย กล่าวว่า ส่วนแบ่งของจีนในการนำเข้าของสหรัฐ ลดจาก 22% เมื่อปี 2560 เหลือ 16% ในปัจจุบัน นั่นจึงทำให้การแยกตัวทางเศรษฐกิจ พร้อมกับเสริมว่า สิ่งนี้ไม่ได้เกิดจากการนำเข้าจากจีนที่ลดลงเสมอไป แต่เป็นผลจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของการค้ากับหุ้นส่วนรายอื่น ๆ เช่น เม็กซิโก

ข้อมูลการค้าที่เผยแพร่โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ แสดงให้เห็นถึงการนำเข้าของเม็กซิโก ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งได้รับประโยชน์จากข้อตกลงสหรัฐ-เม็กซิโก-แคนาดา (ยูเอสเอ็มซีเอ) ขณะที่หลายประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเวียดนาม ก็ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการกำหนดนิยามใหม่ ของการค้าข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก

ด้านนายเฮนรี สตอรีย์ นักวิเคราะห์ของ “ดราโกแมน โกลบอล” ระบุว่า เหตุผลหลักของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือการที่ประเทศเหล่านี้ ใช้ประโยชน์จากความใกล้ชิดกับจีน ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถดึงดูดการลงทุนของจีนได้

อย่างไรก็ตาม สตอรีย์ กล่าวว่า แม้จีนกำลังสูญเสียส่วนแบ่งการตลาด แต่การส่งออกโดยรวมยังมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งมาก ซึ่งนับตั้งแต่ทรัมป์ประกาศมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของจีน เมื่อปี 2561 พื้นที่ส่งออกซึ่งเติบโตเร็วที่สุดคือ มณฑลทางตอนกลาง และทางตะวันตกของจีน

“ส่วนแบ่งมูลค่าเพิ่มของการนำเข้าจากจีนของสหรัฐ ลดลงน้อยกว่าการนำเข้าโดยตรง ดังนั้นสหรัฐจึงได้รับการนำเข้าจากจีนแบบทางอ้อม ผ่านประเทศต่าง ๆ เช่น เม็กซิโก และเวียดนาม” ฟรอยด์ ระบุเพิ่มเติม

ทั้งนี้ทั้งนั้น ความเคลื่อนไหวดังกล่าวมีผลกระทบตามมา นั่นคือการลงทุนของจีนในเม็กซิโก ซึ่งอยู่ในระดับต่ำมา กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รัฐบาลวอชิงตันเกิดความกังวล และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิด กับความสัมพันธ์ที่กำลังเติบโตนี้.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES