สาเหตุของน้ำอสุจิเป็นเลือด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ไวรัสเริม โรคหนองในเทียม การบาดเจ็บ หลังจากการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมากด้วยอัลตราซาวด์ทางทวารหนัก การบาดเจ็บที่ฝีเย็บ การฉีดริดสีดวงทวาร หรือการฝังแร่ในต่อมลูกหมาก, โรคต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบจากแบคทีเรียชนิดเฉียบพลัน หรือ เรื้อรัง ต่อมลูกหมากโต นิ่วของต่อมลูกหมาก และหลอดเลือดท่อปัสสาวะต่อมลูกหมากผิดปกติ, โรคประจำตัวต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูงที่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างรุนแรง ภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือ อะไมลอยด์โดสิส (Amyloidosis)เป็นโรคหายากพบไม่บ่อย เกิดจากการที่ร่างกายสร้างโปรตีนอะมีลอยด์มากเกินไปจนเข้าไปสะสมตามเนื้อเยื่อของอวัยวะต่าง ๆ

ปัญหาลูกอัณฑะ เช่น อัณฑะอักเสบ ท่อเก็บอสุจิอักเสบ หรือการบาดเจ็บที่อัณฑะ ความผิดปกติของถุงน้ำเชื้อ เช่น การขยายตัวไม่สมมาตรของถุงน้ำเชื้อ หรือมีนิ่ว การติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรคหรือโรคพยาธิใบไม้ในเลือด (Schistosomiasis) ความผิดปกติของท่อน้ำอสุจิ เช่น นิ่วในท่อน้ำอสุจิ หรือถุงน้ำในท่อน้ำอสุจิ เนื้อร้าย เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก เนื้องอกที่อัณฑะ มะเร็งถุงน้ำเชื้อ (พบไม่บ่อย) หรือเนื้องอกในท่อปัสสาวะ

การตรวจวินิจฉัยพื้นฐาน ภาวะน้ำอสุจิเป็นเลือดยังคงเป็นอาการที่ยากต่อการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นซ้ำหรือต่อเนื่องในธรรมชาติของผู้ป่วยเอง สาเหตุของภาวะน้ำอสุจิส่วนใหญ่มักไม่ทราบสาเหตุ และจำเป็นต้องมีการตรวจวินิจฉัยอย่างง่าย ๆ เพื่อประเมินผลการตรวจวินิจฉัยพื้นฐาน อายุของผู้ป่วย การกลับเป็นซ้ำของน้ำอสุจิเป็นเลือดและอาการทางเดินปัสสาวะที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาวะปัสสาวะเป็นเลือด สามารถมีผลกระทบต่อการตัดสินใจเพื่อประเมินผลการวินิจฉัยต่อไปได้ จุดมุ่งหมายของการตรวจวินิจฉัยทั้งหมดในกรณีของภาวะน้ำอสุจิเป็นเลือด ควรมุ่งเน้นไปที่การระบุสาเหตุหรือแยกแยะการติดเชื้อและเนื้อร้าย การประเมินภาวะน้ำอสุจิเป็นเลือดต้องอาศัยการซักประวัติการเจ็บป่วยอย่างละเอียด การตรวจร่างกาย และการตรวจวินิจฉัยที่เหมาะสม

ขั้นตอนสำคัญในระหว่างการซักประวัติการเจ็บป่วยอย่างละเอียด คือคัดแยกน้ำอสุจิเป็นเลือดแบบหลอก-คือไม่จริง ซึ่งอาจเกิดจากการมีปัสสาวะเป็นเลือด หรือแม้แต่การดูดเลือดของคู่ครองเข้าไปในท่อปัสสาวะในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ การซักประวัติการเจ็บป่วยในกรณีของภาวะน้ำอสุจิเป็นเลือด ควรรวมถึงช่วงเวลา ความถี่ และอาการที่เกี่ยวข้อง ในทำนองเดียวกัน แพทย์ผู้สัมภาษณ์ควรแยกแยะปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิด ที่เป็นไปได้ เช่น การตกขาวของท่อปัสสาวะ ประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ภาวะผิดปกติของหลอดเลือด และโรคหลอดเลือดหรือเลือดออก โรคประจำตัวทางระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ร่วม เช่น ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับตับ หรือโรคหลอดเลือดแข็งตัว ควรได้รับการแยกออกด้วย ประวัติการเดินทางของผู้ป่วยก็มีความสำคัญมากเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีของวัณโรคหรือโรคพยาธิใบไม้ในเลือด

—————————–
ศ.น.ท.ดร.นพ.สมพล เพิ่มพงศ์โกศล