ซึ่งในเวทีนั้นมีการเสวนาที่น่าสนใจอย่างเรื่องของ “การออกกำลังใจ … ใครก็ทำได้” โดย ผศ.ดร.ณัฐสุดา เต้พันธ์ คณบดีคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันวิชาการเพื่อความยั่งยืนทางสุขภาพจิต ระบุถึงคำว่า “สุขภาพจิต” ยังเป็นคำที่ยังไม่กลืนเข้ากับสังคมไทย ซึ่งส่งผลให้มีอัตราการฆ่าตัวตายซึ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ที่ผ่านมาจุฬาฯ เคยศึกษาวิจัยด้วยการสัมภาษณ์คนที่อยู่ในภาวะวิกฤติทางอารมณ์ (Emotional crisis) หรือคนที่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมได้ พบว่ามีตัวกระตุ้นคือ 1. การเรียน ซึ่งเชื่อมไปสู่การทำให้คนที่เขารักเสียใจ 2. เรื่องเงินและสภาพเศรษฐกิจ 3. ความสัมพันธ์ของเพื่อน คนรักที่แยกจากกัน
อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ การถอดบทเรียนและการศึกษา ยืนยันตรงกันว่าการเข้าถึงบริการ การเข้าถึงนักจิตวิทยา การเข้าถึงการให้คำปรึกษา-พูดคุย ช่วยคนได้จริงๆ แต่ปัจจุบันยังเข้าถึงเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น ดังนั้นคำถามคือเมื่อใดคนทุกคน-คนทุกกลุ่มในประเทศจะเข้าถึงได้
ดร.เจนนิเฟอร์ ชวโนวานิช คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า สุขภาพจิตเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของเรา อาจนิยามง่ายๆ ว่าเรามีความสุขกับชีวิตมากขนาดไหน เราพึงพอใจกับสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวันขนาดไหน เรามีอารมณ์ทางบวก มีกำลังใจมากน้อยขนาดไหน เป็นการอธิบายถึงอารมณ์และความรู้สึกที่มีต่อชีวิตของเราและเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเราในทุกๆ วัน และเมื่อพูดถึงสุขภาพจิตในสถานที่ทำงานก็จะนึกถึงเรื่องความเครียดในที่ทำงาน ซึ่งไม่ใช่แค่ความเครียดที่เราต้องเจอภายใน 1 วัน เช่น เดดไลน์ ผู้คน-ลูกค้าที่อาจเข้ากับเราไม่ได้ แต่ต้องมองไปที่ภาพรวมว่าสิ่งเหล่านี้สะสมจนกลายเป็นความทุกข์ทรมานในการทำงานหรือไม่ นำไปสู่ภาวะหมดไฟ
ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลพนักงานในประเทศไทย 1,000 คน พบว่า ส่วนใหญ่จะรู้สึกเหนื่อยล้าทางอารมณ์ คือตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเหนื่อยแล้ว หรือเมื่อไปถึงที่ทำงานแม้ว่าจะยังไม่เริ่มทำงานแต่ก็รู้สึกว่าทำงานมาทั้งวันแล้ว ขณะที่เรื่องช่วงวัย (Generation) นั้น พบว่า Gen-Z ซึ่งอาจจะเพิ่งทำงานเป็นครั้งแรก มีความรู้สึกเหนื่อยล้าหรือภาวะหมดไฟที่สูงกว่าช่วงวัยอื่น โดยให้เหตุผล อาทิ ไม่เห็นถึงศักยภาพของตัวเอง และพบอีกว่าเพศหญิง และผู้มีความหลากหลายทางเพศจะมีภาวะความเครียดและความเหนื่อยหน่ายทางอารมณ์ที่สูงกว่าเพศชาย
ซึ่งนโยบายองค์กรที่มุ่งเน้นไปที่ตัวเลขหรือผลลัพธ์โดยไม่แคร์คนทำงาน คือสิ่งที่พนักงานเครียดมาก และที่ตอบตรงกันมากที่สุดคือ “หัวหน้า” ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้คนทำงานไม่เครียดคือการมีหัวหน้าที่เข้าใจและคอยถามความรู้สึกของผู้ใต้บังคับบัญชา การให้ทักษะแก่หัวหน้าเพื่อดูแลคนในทีมได้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ตลอดจนการสร้างนโยบายยืดหยุ่นในการทำงาน และทำให้พนักงานรู้สึกปลอดภัยว่า จะไม่ต้องตอบอีเมลในช่วงเวลาค่ำและได้พักผ่อนจริง ๆ ให้สามารถปิดสวิตช์การทำงานได้จริงๆ รวมถึงการเปิดช่องให้พนักงานเข้าถึงการได้รับบริการหรือการส่งเสริมสุขภาพจิตและสุขภาพใจ
น.ส.กันตพร ขจรเสรี หรือน้ำหวาน ผู้ร่วมก่อตั้งมายด์เวนเจอร์ บอกว่า กรมสุขภาพจิตได้ทำงานวิจัยพบว่ามีวัยรุ่นและเยาวชนไทย 1 ใน 3 หรือ 32% มีความเสี่ยงต่อการซึมเศร้า นั่นหมายความว่าเพื่อนหรือบุตรหลานของเรา เขาอาจดูเหมือนยิ้มและมีความสุข แต่เมื่อเขาอยู่คนเดียวในห้องกลับกำลังรู้สึกแย่อยู่ ที่สำคัญคือเขาอาจจะโดดเดี่ยวและไม่มีคนให้คุยด้วยเลย และถึงแม้ว่าเด็กและเยาวชนจะยังไม่เข้าสู่โลกของการทำงานแต่ก็มีภาวะความเครียดไม่แพ้กัน ซึ่งปัญหาที่พบบ่อยในวัยนี้คือการค้นหาตัวเอง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัยแล้วความต้องการของตัวเองไม่ตรงกับความต้องการของผู้ปกครอง ตลอดจนการเกิดขึ้นของโซเชียลมีเดียที่ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับคนอื่นจนมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่ขับเคลื่อนอยู่ในขณะนี้คือการหาเครื่องมือให้กับคนกลุ่มนี้รับมือกับความเครียดได้.
อภิวรรณ เสาเวียง