เริ่มด้วยพรรคการเมืองรุ่นใหม่อย่าง ก้าวไกล ที่แม้มีอายุแค่ 5 ปี กลับสามารถเติบโตแบบก้าวกระโดด นับตั้งแต่การก่อตั้งในชื่อ “พรรคอนาคตใหม่” ลงสนามเลือกตั้งระดับชาติเมื่อปี 2562 และคว้าเก้าอี้ สส. 81 ที่นั่ง เป็นอันดับ 3 ของสภาผู้แทนราษฎรก่อนประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ถูกยุบพรรคแล้วแปรสภาพใหม่ เกิดเป็น“พรรคก้าวไกล” และสส.ในสังกัดสามารถสร้างผลงานในสภาฯตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งการอภิปรายและการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลได้อย่างถึงพริกถึงขิง บวกกับกระแสความเปลี่ยนแปลงในสังคม เยาวชนคนหนุ่มสาวสนใจการเมืองเพิ่มขึ้น และเกิดการการชุมนุมใหญ่ช่วงปี 2563-2564 เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปโครงสร้างด้านต่างๆของประเทศ แต่ถูกกำราบไปด้วยการใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นในยุครัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี จนเกือบสงบราบคาบ

ความคับข้องใจของผู้คนต่อการบริหารประเทศในยุครัฐบาลคสช.จนเกิดการสืบทอดอำนาจยาว 9 ปี  และความไม่ชัดเจนของ“พรรคเพื่อไทย” ท่ามกลางข่าวจับมือกับพี่น้อง 3 ป.“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ – พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ทำให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล สร้างวลีเด็ด“มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” ได้ใจด้อมส้มและคนเสื้อแดงมากเกินคาดนำพาพรรคดาวรุ่งสีส้มแลนด์สไลด์ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.2566 โค่นแชมป์เก่าอย่างพรรคเพื่อไทยแทบสิ้น

แต่ช่วงเวลาฮันนีมูนของ“ก้าวไกล”เกิดขึ้นได้ไม่นานนัก หลังจากเร่งมัดมือชกจับพรรคเพื่อไทยและอีก 7 พรรค เซ็นเอ็มโอยูจัดตั้งรัฐบาล หวังใช้กระแสสังคมกดดันให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เลือกพิธานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30  แต่แล้วก็พลิกล็อกเพราะกระแสข่าว“ดีลลับ-ดีลรัก” เกิดเป็นจริง พรรคเพื่อไทยรุกฆาตหันไปจับมือแนวร่วม “3 ป.” จนตั้งรัฐบาลสำเร็จ แถมโยนส้มไปหล่นที่“เศรษฐา ทวีสิน” กลายเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่

ซ้ำยังประสบเหตุการณ์นิติสงครามฟาดฟันอีกหนเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในยุค“อนาคตใหม่” เมื่อ“พิธา” ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จากกรณีการถือหุ้นบริษัท“ไอทีวี” ทำให้“ชัยธวัช ตุลาธน” หนึ่งในเสนาธิการของ“ก้าวไกล” ต้องรับไม้ต่อเป็นหัวหน้าพรรคฯ ขัดตาทัพ และยังต้องลุ้นคดีเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง ว่าจะลงเอยให้ถูกยุบพรรคอีกหรือไม่ ขณะที่มีสส.หลายคนยังมีคดีการเมืองติดตัวให้ต้องลุ้นผลการต่อสู้กันต่อไป

โจทย์ข้อใหญ่ที่“ก้าวไกล”ต้องเร่งทำถ้าหวัง“ส้มทั้งแผ่นดิน” คือการขันน็อตสส.เร่งพิสูจน์ฝีมือการทำงานจริง ไม่ใช่แค่ขยันปั่นสื่อโซเชียลหรือหวังเป็น“ดาวติ๊กต็อก” เลี้ยงกระแสไปวันๆ ที่สำคัญต้องเร่งปั้นบุคลากรรุ่น 3 และรุ่นต่อๆไปรองรับหากเกิดอุบัติเหตุทางการเมือง เพราะถึงอย่างไร แนวทางการทำงานการเมืองที่เป็นแก่นแท้และอุดมการณ์แบบ“อนาคตใหม่” จนถึงยุค“ก้าวไกล” อาจเป็นความหวังและทางเลือกหนึ่งของสังคมไทยยุคใหม่

อีกฟากฝั่งพรรคการเมืองรุ่นใหญ่อย่าง “เพื่อไทย” ที่เจ็บหนักจากผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ผ่านมา กวาดเก้าอี้สส.ได้เป็นอันดับ 2 พ่ายแพ้กระแสความนิยมพรรคสีส้มที่โดนใจคนเกือบทั้งประเทศ กลายเป็นการบ้านข้อใหญ่ในการทวงความยิ่งใหญ่ของตัวเอง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ชิงอำนาจทางการเมืองจนนำไปสู่การฉีกสัญญาใจ 6 พรรคการเมืองอดีตพรรคร่วมฝ่ายค้าน แล้วข้ามขั้วไปร่วมตั้งรัฐบาลกับเครือข่าย “3 ป.” ส่งผลให้พรรคเพื่อไทยถูกมองว่าเสียเครดิตทางการเมือง และเสียกองเชียร์คนเสื้อแดงยิ่งขึ้น ขณะที่คู่แข่งรายสำคัญนับวันจะยิ่งเติบโต จึงจำเป็นที่พรรคเพื่อไทยต้องเร่งรีแบรนด์ครั้งใหญ่ ด้วยการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจาก “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” มาเป็นการชูเลือดใหม่อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” บุตรสาวคนสุดท้องของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ให้กลายเป็นแม่ทัพหญิงของ“เพื่อไทย” พร้อมเปิดทางคนรุ่นใหม่แท็กทีมคนรุ่นใหญ่ทำหน้าที่กรรมการบริหารพรรคฯร่วมกอบกู้คะแนนนิยม ควบคู่กับการทำงานของรัฐบาลภายใต้การนำของ “นายกฯเศรษฐา”

แม้รัฐนาวาลำนี้มีเสียงสส.จากพรรคต่างๆที่มาร่วมลงเรือลำเดียวกันมากถึง 314 เสียง แต่ยังมีคลื่นลมและพายุที่กำลังถาโถมเข้ามาพิสูจน์ฝีมือรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายสำคัญๆที่“พรรคเพื่อไทย” ประกาศไว้ในการหาเสียงช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งประชาชนเฝ้ารอคอยให้เกิดขึ้นจริงในเร็ววัน อย่างการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้ประชาชนคนละ 10,000 บาท ตลอดจนการขึ้นค่าแรงและเงินเดือนต่างๆ ยังไม่มีความชัดเจนหรือแนวทางเริ่มขับเคลื่อนให้ประชาชนได้ชื่นใจ รวมถึงมาตรการอีกหลายอย่างเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ก็ยังไม่เห็นวี่แววการเดินเครื่องสร้างความหวังแก่ประชาชนและประเทศชาติ

ที่สำคัญยังมีอีกหนึ่งปมร้อนที่จะเพิ่มแรงเสียดทานกระทบเรตติ้งและความศรัทธา นั่นคือการกลับประเทศมารับโทษทัณฑ์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” แต่กลับสบช่องข้อกฎหมาย ได้นอนนอกราชทัณฑ์ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น “นักโทษเทวดา” ตอกย้ำวลีชอกช้ำที่ว่า “คุกมีไว้ขังคนจน” ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า “ทักษิณ”เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของ“จักรวาลเพื่อไทย” จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สั่นสะเทือนต่อคะแนนนิยมและความเป็นไปของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลปัจจุบัน

ดังนั้น หลังเปิดศักราชการก้าวสู่ปีใหม่มังกรทองแล้ว ทุกเวลาจึงถือว่าเป็นนาทีทองสำหรับพรรคใหญ่แห่งนี้ภายใต้การนำของ “แพทองธาร” ผนึกกำลังกับ “รัฐนาวาเศรษฐา” ต้องเร่งทำงานพิสูจน์ฝีมือตัวเอง สร้างผลงานการดูแลประชาชนตามสัญญา พร้อมกับเสริมสร้างประเทศให้เกิดการฟื้นฟูสู่การพัฒนาต่อไป หากสามารถทำให้ชาวบ้านให้ลืมตาอ้าปากได้ จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นและศรัทธากลับสู่พรรคกลับคืนมา ขณะเดียวกัน “พรรคเพื่อไทย“จำเป็นอย่างยิ่งต้องเร่งเดินหน้าสร้างฐานเข้าถึงใจเรียกคะแนนนิยมจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ ขยายคลื่นมวลชนสีแดงกลบกระแสสีส้มให้ได้ เพื่อเป้าหมายใหญ่ในสงครามครั้งต่อไป คือการสร้างแลนด์สไลด์แดงทั้งแผ่นดินให้สำเร็จในการเลือกตั้งสมัยหน้า สมกับคำประกาศของแม่ทัพหญิงที่มุ่งหน้าทวงความยิ่งใหญ่ให้ “เพื่อไทย” กลับมาสยายปีกเป็นพรรคการเมืองเบอร์ 1 ยอดนิยมครองใจประชาชนทั่วหัวระแหงเหมือนกับสมัยผู้เป็นพ่ออย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” ทำไว้เป็นตำนานในยุค“ไทยรักไทย