เข้าสู่ช่วยท้ายปีดีกรีการเมืองพุ่งปรี๊ด โดยเฉพาะประเด็นร้อนของ ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจนานเกิน 120 วันแล้ว ดูเหมือนจะเป็นจริงตามคำที่เคยประกาศไว้ว่าจะกลับมารับโทษอย่างเท่ๆ เพราะตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค.2566 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัว “นช.ทักษิณ” ไปฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งการเมืองและศาลตัดสินจำคุกรวม 8 ปีจนถึงวันนี้ก็ยังติดคุกได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง เนื่องจากมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลด่วน
ล่าสุด “สมศักดิ์ เทพสุทิน”ออกมายอมรับ “ทักษิณ” เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับประโยชน์การออกระเบียบกรมราชทัณฑ์ ซึ่งกำหนดให้ผู้ต้องโทษคุมขังนอกเรือนจำ และประเด็นการคุมขังนอกเรือนจำเป็นเรื่องที่ออกตามกฎหมายของกรมราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ในรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯรัฐมนตรี)และเมื่อปี 2562 ตนเข้ารับตำแหน่ง รมว.ยุติธรรม ได้ออกกฎกระทรวงว่าด้วยการจำแนกผู้ต้องขัง ที่มีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับพฤติกรรม และการรักษาพยาบาล รวมถึงการเตรียมพร้อมปล่อยตัวในปี 2563 ระหว่างดำเนินการมีอดีตข้าราชการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้หารือเพื่อขอให้มีที่คุมขังออกเรือนจำสำหรับผู้ต้องขัง หรือผู้ถูกกล่าวหา โดยตนเห็นด้วย จึงให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมและคณะทำงานดำเนินการเรื่องนี้ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีก่อน
“ยืนยันไม่ได้เอื้อประโยชน์กับผู้ต้องหารายใดรายหนึ่ง แต่เป็นกระบวนการยุติธรรม ซึ่งทำตามกรอบสากลและทำได้หากเข้าเกณฑ์ สำหรับกรณีของ “ทักษิณ” นั้นยอมรับว่าเข้าเกณฑ์ เพราะโทษไม่เกิน 4 ปี ไม่เป็นบุคคลที่อยู่ในข่ายน่ากลัวของสังคม เช่น โทษฆ่าข่มขืนที่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำ หากเป็นโทษที่ไม่เป็นภัยต่อสังคมในระบบสากลสามารถคุมขังนอกเรือนจำได้ รวมถึงเหลือโทษน้อย คนไม่เคยติดคุกไม่รู้ว่าความเครียดที่เกิดจากโรคที่มีอยู่สามารถทำให้เกิดอันตรายได้ทั้งนั้น อีกทั้งเจ้าหน้าที่ก็ต้องการให้เกิดความปลอดภัยของทุกคน”
ดังนั้นคงต้องลุ้นว่า “นช.ทักษิณ” จะออกมาใช้ชีวิตแบบชิลๆในช่วงไหน และรอดูกรมราชทัณฑ์จะอนุญาตให้ออกคุกไปที่บ้านหรือไม่ โดยมีกำไลอีเอ็มติดตัวไปด้วย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าปมร้อนเรื่อง “ทักษิณ”ที่จะกระแทกเข้าใส่ “รัฐบาลเศรษฐา” และพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มๆ ถือเป็นระเบิดเวลาที่ “รัฐบาลเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย” ประมาทไม่ได้
เพราะคณะกรรมาธิการการตำรวจ (กมธ.ตำรวจ) เตรียมบุกโรงพยาบาลตำรวจเยี่ยม ‘ทักษิณ’ ในวันที่ 12 ม.ค.67 ว่ายังรักษาตัวอยู่ชั้น 14 จริงหรือไม่
ขณะที่ฝ่ายค้านก็ออกสเต็ปทันทีที่หลัง “เดอะต๋อม” ชัชธวัช ตุลาธน รับหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านแบบเต็มตัว ก็ออกมากะซวกรัฐบาลให้ออกมาเคลียร์ปม “ทักษิณ” เพราะตอนนี้มีคำถามเยอะ ว่าใช้อภิสิทธิ์เหนือคนอื่นหรือไม่ หลังนอนโรงพยาบาลมา 120 วันแล้ว เกรงระเบียบใหม่ถูกใช้ 2 มาตรฐาน และชี้หลายคนมีปัญหาสุขภาพรุนแรงแต่ก็ไม่ได้สิทธิ์ ถ้ายังเงียบฝ่ายค้านจะตรวจสอบแน่นอน
เล่นเอา “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร และ “นายกฯเศรษฐา”ไปไม่เป็นเลือกใช้บทตีชิงเลี่ยงตอบคำถาม
ขณะที่ “ทวี“ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม อ้ำๆอึ้งๆ ตอบกระทู้ถามสดในสภาแทนนายกรัฐมนตรี ยันระเบียบคุมขังนอกเรือนจำมีมาก่อนรัฐบาลนี้แก้ปัญหานักโทษล้นคุก ที่“ทักษิณ” ได้พักอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจที่ชั้น 14 ต่อหลังครบ 120 วัน เป็นการวินิจฉัยของแพทย์ที่ยืนยันว่าป่วยจริง ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เพื่อการรักษาความปลอดภัยตามระเบียบเรือนจำ
งานนี้มันเป็นไฟท์บังคับใครออกมากางปีกปกป้อง“นักโทษเทวดา”แนวโน้มมีลุ้นได้รับรางวัลสมนาคุณแบบจุใจ แต่อย่าลืมว่าทุกการกระทำอยู่ในสายตาประชาชน ใครที่ทำผิดควรติดคุกแบบไม่มีเล่ห์เหลี่ยม หรือจะกลับบ้านอย่างเท่ๆคงไม่ได้
พรรคเพื่อไทยต้องตั้งหลักให้ดี เพราะนอกจากเรื่อง”ทักษิณ”แล้วยังมีเรื่องค่าแรง ที่”นายกฯเศรษฐา” ออกแอกชั่นแตะเบรกมติคณะกรรมการไตรภาคี ขอให้ทบทวนใหม่ แต่ในที่สุดคณะกรรมการไตรภาคียืนมติเดิมไม่ฟังเสียงนายกฯ คนรับกรรมก็คือคนใช้แรงงาน แต่แรงงานยังคงมีความหวังที่คณะกรรมการไตรภาคี อาจะมีการปรับสูตรการคำนวณในการขึ้นค่าจ้างใหม่ในปี 67 ถึงแม้จะมีความหวังแต่เสียความรู้สึกไปแล้วที่รัฐบาลทำไม่ได้
นอกจากนี้หันมาดูเรื่องค่าน้ำมัน ค่าไฟก็ขึ้นๆลงๆ ทำเอาประชาชนต้องลุ้นกันตัวโก่งแบกรับค่าไฟ ในที่สุดมติครม.ออกมาล็อกค่าไฟให้ 4 เดือนตั้งแต่ม.ค.-เม.ย.67 โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มสำหรับครัวเรือนที่ใช้ไฟน้อยกว่า 300 หน่วยต่อเดือนอยู่ที่ 3.99 บาทต่อหน่วย ส่วนกลุ่มที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 300 หน่วยต่อเดือน อยู่ที่ 4.20 บาทต่อหน่วย พร้อมล็อคราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 30 บาทต่อลิตร และ LPG อยู่ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัมนาน 3 เดือน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่
ถ้าดูตอนนี้“นายกฯเศรษฐษา”ทำงานเยอะแต่เหมือนยังไม่มีผลงานที่จับต้องได้ จนมีคำวิพากษ์วิจารณ์ถึงการทำงานเป็นแค่การเดินสายเปิดงานอีเว้นท์เท่านั้น จะจริงไม่จริงอย่างไรไม่รู้แต่เป็นแรงกดดันให้ “นายกฯเศรษฐา”เร่งปั่นผลงานพลิกฟื้นให้เป็นประเทศแห่งการลงทุนมีเม็ดเงินไหลเข้ามาจนเงินเต็มกระเป๋าประชาชนจะได้ลืมตาอ้าปากได้
ก่อน “นายกฯเศรษฐา”ลาพักร้อนได้นั่งหัวโต๊ะเคาะส่งร่างกม.สมรสเท่าเทียม เข้าสภา 21 ธ.ค.สานฝันให้กลุ่ม ‘LGBTQIA’ ทันที่ที่สภาโหวตวาระแรกผ่าน นายกเศรษฐาได้โพสต์ข้อความผ่าน X แสดงความยินดีและชี้ว่าเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้น
แต่ก็เกิดวิวาทะกันว่าพรรคเพื่อไทยพยายามเคลมนำไปเป็นผลงานหวังได้เสียงกลุ่ม ‘LGBTQIA’ แต่บรรดาด้อมส้มก็รู้ๆกันอยู่ว่า ร่างพ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม พรรคก้าวไกลเป็นคนจุดประกายมาตั้งแต่ต้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว “รัฐบาลเศรษฐา”จะมาเคลมเอาไปนับเป็นผลงานไม่ได้ ถ้าหวังจะเคลมจะต้องมีเนื้อหาที่ฉีกแหวกแนวกว่าที่พรรคก้าวไกลทำไว้เกือบสุดทางแล้ว
หลังนายกฯเศรษฐา ลาราชการการ(ลาพักร้อน) และกลับมาทำงานวันแรกก็เข้าไปร่วมงานการแข่งขันศึก “ONE ลุมพินี 46 “ ที่ศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก (มวยไทยลุมพินี) รามอินทรา ถือเป็นปรากฏการณ์ซอฟพาวเวอร์ของมวยไทย
แต่ไม่แน่ใจว่าการกลับจากพักร้อนครั้งนี้จะเจอเรื่องร้อนกว่าหรือเปล่า เพราะในสภามีวาระร้อนรออยู่เพียบ ทั้ง งบประมาณฯปี 67 ร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านโครงการแจกเงินดิจิทัลวอล์เล็ต 1 หมื่นบาท ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม การแก้รัฐธรรมนูญ ตั๋วเพื่อไทย หมูเถื่อน ที่ฝ่ายค้านเตรียมเปิดอภิปรายฯจัดหนักเต็มสูบแน่นอน
เมื่อ“เดอะต๋อม” เข้ามารับหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านแล้ว ต้องรอดูศักยภาพขงเบ้งของพรรคก้าวไกล จะนำพาพรรคก้าวไกลลุยตรวจสอบรัฐบาล เป็นพรรคสายฟาดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมจนไม่มีเพื่อนในสภา หรือต้องปรับจูนเพื่อดันกฎหมายของพรรคก้าวไกลไปให้สุดทาง คงต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง เพราะการทำงานการตรวจสอบในสภาต้องอาศัยเสียงโหวตจากเพื่อนสส.เป็นหลัก ขณะที่ทิศทางการเมืองภายในพรรคก็ต้องมาวางยุทธศาตร์ในการทวงคืนศรัทธา
และต้องยอมรับว่าพรรคก้าวไกลยังต้องเจอวิบากกรรม นิติสงครามยังรออยู่ข้างหน้าอีกมาก ล่าสุดคดี“ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังต้องฝ่าด่านหินอีก 2 บิ๊กแม็ท ต้นปี 67ที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัย คดีถือหุ้นสื่อไอทีวี ในวันพุธที่ 24 ม.ค 2567และกรณียกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112ที่นำไปหาเสียง คดีนี้ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนต่อในวันที่ 25 ม.ค.2567 ขณะที่สส.ในพรรคก็โดนวิบากกรรมคดี 112 อีกหลายคน
สเต็ปต่อไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เส้นทางของ 2 พรรคใหญ่ไม่ได้เดินอยู่บนทุ่งลาเวนเดอร์แน่ๆ ต้องเจอแรงเสียดทานเหมือนมีบ่วงกรรมติดตามตัว การเมืองจะร้อนเหมือนอย่างที่อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ทำนายทายทักเหตุการณ์ช่วงปี 2567 หรือไม่ ว่า ดาวพฤหัสเป็นกาลกิณีจร จะให้ความยุ่งยาก ให้ผลร้าย ให้โทษทางด้านกฎหมาย ศีลธรรม คือ เกิดการใช้กฎหมายมาห้ำหั่นกัน หรือที่เรียกว่า นิติสงคราม ชิงไหวชิงพริบ ชิงผลประโยชน์!.