นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง มีอำนาจในการบริหารแบบเต็ม ๆ ในวันแถลงนโยบายการทำงานของรัฐบาลต่อสมาชิกรัฐสภา เมื่อวันที่ 11-12 ก.ย. 66

ปัจจุบันนายเศรษฐาจึงบริหารประเทศมาได้ 3 เดือน 11 วัน ถ้าใครอยากให้คะแนน หรือชี้วัดผลการทำงาน (KPI) เปรียบเทียบกับคนที่เป็นนายกฯ ต่อเนื่องมา 9 ปี หรือจะเปรียบเทียบกับแคนดิเดตนายกฯ ที่บอกให้รอตั้งรัฐบาลไว้ก่อน 10 เดือน เพื่อให้สว.ลากตั้งชุดนี้ครบวาระในเดือน พ.ค. 67 ก็เชิญตามสะดวก

แต่อย่าลืมว่าก่อนนายเศรษฐาเข้ามาบริหารประเทศ คนไทยส่วนใหญ่ติดกับดักรายได้โตไม่ทันกับรายจ่าย โตไม่ทันกับหนี้สินมา 8-9 ปี เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศขยายตัวเฉลี่ยปีละ 1.8% รั้งท้ายในอาเซียน

สภาพสังคมไทยอยู่ในภาวะรวยกระจุก ยากจนกระจาย มีคนจนกว่า 10 ล้านคน มีหนี้ครัวเรือน (หนี้ในระบบ-หนี้นอกระบบ) ไตรมาส 2/66 กว่า 16 ล้านล้านบาท หนี้สาธารณะพุ่งสูงประมาณ 9 ล้านล้านบาท ข้าราชการไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือนกันมาต่อเนื่องหลายปี ผู้ใช้แรงงานเพิ่งได้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 65 เฉลี่ยทั่วประเทศ 8-22 บาท/วัน

เรื่องความยากจน ภาระหนี้สิน ส่งผลทำให้มีปัญหาทางสังคมตามมาด้วย ผู้บริหารประเทศต้องมีอิทธิฤทธิ์ มีปาฏิหาริย์เท่านั้น ถึงจะนั่ง “เสก” ให้ปัญหาที่หมักหมมมานานเหล่านี้คลี่คลายไปได้โดยเร็ว

แต่เมื่อ “เสก” ไม่ได้! คนเป็นผู้นำประเทศก็ต้องบริหารจัดการ รีบฟื้นฟู-กระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศ-นอกประเทศ

ภายในประเทศที่สามารถทำได้โดยเร็ว คือการลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ทั้งลดค่าไฟ-ค่าแก๊ส-ค่าเดินทาง และตามมาคือเข้าไปช่วยแก้ปัญหาหนี้ในระบบ-หนี้นอกระบบ ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา ช่วยคนเป็นหนี้มีโอกาสหายใจมากขึ้น นี่คือการบริหารจัดการปัญหาซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะนั่ง “เสก” ปัดเป่าปัญหาให้มลายหายไปทันทีไม่ได้

ส่วนภายนอกประเทศ ที่ทำได้ทันทีคือการหารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ด้วยการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ (วีซ่าฟรี) ให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเดินทางออกไปพบปะผู้นำ-นักลงทุนต่างประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และดึงนักลงทุนให้อยู่กับประเทศไทยต่อไป ลงทุนเพิ่มขึ้นในประเทศไทยต่อไปอีก และกวักมือเรียกนักลงทุนรายใหม่ ๆ ให้เข้ามาด้วย

ระหว่าง 9 ปีที่ผ่านมา กับ 3 เดือน 11 วัน นายกฯคนไหนออกไปต่างประเทศอย่างมีชีวิตชีวา สนุกสนานกับการได้พบปะพูดคุยกับผู้นำ-นักลงทุนต่างประเทศ และประเทศไทยจะได้รับโอกาสมากกว่ากัน ลองไปพิจารณากันเอาเอง!

ก่อนตั้งรัฐบาลชุดนี้ ประเทศไทยมีข่าวฉาวกรณีทุจริตปั่นหุ้น 2 ตัว แถมยังตั้งเลขาฯ ก.ล.ต.ไม่ได้ ปล่อยคาราคาซังกันไว้หลายเดือน จึงส่งผลกระทบกับความเชื่อมั่นในตลาดทุนเป็นอย่างมาก

ไหนจะปัญหา “หมูเถื่อน” ปล่อยปละละเลยให้ทะลักเข้ามาเป็นหมื่น ๆ ตู้คอนเทเนอร์ ทั้งหมูเถื่อน วัวเถื่อน ตีนไก่เถื่อน ถ้า “รัฐราชการ” ในอดีต ไม่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ หมูเถื่อนคงไม่ระบาดจนสร้างความเดือดร้อนให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูกันมากมายทั่วประเทศ

การแก้ปัญหาปั่นหุ้น 2 ตัว เรื่องการตั้งเลขาฯ ก.ล.ต. และปัญหาหมูเถื่อน นายกฯ เศรษฐาไม่ได้นั่งเสก! แต่บริหารจัดการกับปัญหาเหล่านี้ และ “ดีเอสไอ” ทำคดีคืบหน้าไปมากพอสมควร จนสถานการณ์ดีขึ้นตามลำดับ

วันก่อน “พยัคฆ์น้อย” เห็นข่าวก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายแรก ช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 250 กม. ผ่านมา 6 ปีเต็ม ๆ แต่คืบหน้าไปแค่ 28% ไหนจะมอเตอร์เวย์บางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กม. ขนาดซอยเป็น 40 สัญญา แต่เกือบ 7 ปี ยังสร้างไม่เสร็จ แถมขยายเวลา-เพิ่มงบประมาณในรัฐบาลก่อน กว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดใช้ตลอดสายช่วงต้นปี 68โน่นแหละ

โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ผ่านไป 4 ปี ไม่มีโรงงานมาตั้งแม้แต่โรงเดียว โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภา ผ่านมา 3 ปี ยังไม่คืบหน้าไปไหนเลย

รัฐบาลชุดก่อนก็นั่ง “เสก” อะไรไม่ได้เหมือนกัน! แต่ไม่รู้ว่าเขาบริหารจัดการประเทศกันแบบไหน โครงการต่าง ๆ จึงมีสภาพเป็นแบบนี้!!

—————————-
พยัคฆ์น้อย