เวเนซุเอลาจัดการลงประชามติ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ที่ผ่านมา เกี่ยวกับสถานะของดินแดนชื่อ “เอสเซกิโบ” ซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้งยืดเยื้อยาวนาน ระหว่างเวเนซุเอลากับกายอานา และตอนนี้อยู่ในอาณาเขตของกายอานา โดยผลการหยั่งเสียงปรากฏว่า 95% กล่าวว่า ดินแดนแห่งนั้นเป็นของเวเนซุเอลา
ด้วยเหตุนี้ ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร ผู้นำเวเนซุเอลา จึงเสนอร่างกฎหมายต่อสภาแห่งชาติ ขอให้มีการจัดตั้งจังหวัด “กายอานา เอสเซกิบา” โดยเน้นย้ำเหตุผลว่า เอสเซกิโบเป็นดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของเวเนซุเอลา ตั้งแต่สมัยอยู่ภายใต้อาณานิคมของสเปน และคำพิพากษาของคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เมื่อปี 2442 “ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย”
ขณะที่กายอานาจัดการซ้อมรบร่วมกับสหรัฐ พร้อมทั้งร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) และก่อนหน้านั้น กายอานาขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( ไอซีเจ ) หรือ ศาลโลก เข้ามาแสดงบทบาทด้วย ซึ่งไอซีเจขอให้เวเนซุเอลายกเลิกจัดการลงประชามติ แต่ไม่ประสบผล
ด้านสหรัฐแสดงบทบาทอย่างทันทีทันใด เกี่ยวกับความขัดแย้งเรื่องดินแดนระหว่างกายอานากับเวเนซุเอลา ว่ารัฐบาลวอชิงตัน “ยืนหยัดเคียงข้างและสนับสนุนอธิปไตย ตลอดจนบูรณภาพแห่งดินแดนของกายอานา” และข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ ควรเป็นการคลี่คลายผ่านการเจรจา “ไม่ใช่การลงประชามติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง”
นอกจากนั้น กองทัพสหรัฐปฏิบัติการลาดตระเวนทางอากาศร่วมกับกองทัพอากาศของกายอานา “ภายในอาณาเขตของกายอานา” ซึ่งแน่นอนว่า เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และส่งสัญญาณถึงเวเนซุเอลา
อนึ่ง เอสเซกิโบมีพื้นที่เกือบ 160,000 ตารางกิโลเมตร อุดมไปด้วยน้ำมัน ปัจจุบัน ดินแดนแห่งนี้คิดเป็นอาณาเขตราว 2 ใน 3 ของกายอานา มีประชากรอาศัยอยู่ราว 125,000 คน จากทั้งหมดราว 800,000 คน ในกายอานา
แม้เอสเซกิโบอยู่ภายใต้การปกครองของกายอานา ตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ เมื่อปี 2442 อย่างไรก็ตาม เวเนซุเอลายืนกรานว่า ภูมิภาคแห่งนี้เป็นดินแดนของตัวเอง “ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์” โดยอ้างเหตุผลย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2320 ที่ในเวลานั้น เวเนซุเอลายังคงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปน และแม่น้ำเอสเซกิโบเป็นพรมแดนธรรมชาติ
ทั้งนี้ บรรยากาศในภูมิภาคเอสเซกิโบ “เปลี่ยนไปตลอดกาล” เมื่อบริษัทเอ็กซอนโมบิล หนึ่งในผู้ให้บริการพลังงานข้ามชาติรายใหญ่ที่สุดของโลกจากสหรัฐ ประกาศการค้นพบแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ในดินแดนเอสเซกิโบ เมื่อปี 2558 เพิ่มปริมาณน้ำมันสำรองของกายอานาเป็นมากกว่า 11 ล้านบาร์เรล ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในโลก หากเปรียบเทียบแบบต่อหัวประชากร
ความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างสหรัฐกับกายอานา เพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากนั้นเป็นต้นมา เอ็กซอนโมบิลได้รับสัมปทาน โครงการสำรวจและขุดเจาะพลังงานอย่างน้อย 63 แห่ง เพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันของกายอานาเป็น 600,000 บาร์เรลต่อวัน และมีการประเมินว่า เพดานการผลิตน้ำมันของกายอานาจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ภายในสิ้นปี 2570
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เวเนซุเอลา “จับตาอย่างใกล้ชิด” ต่อความร่วมมือดังกล่าวระหว่างสหรัฐกับกายอานา พร้อมทั้งประณามประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ว่า “เป็นทาสของเอ็กซอนโมบิล”
ปัจจุบัน เวเนซุเอลายังคงเป็นประเทศที่มีแหล่งน้ำมันสำรองมากที่สุดในโลก คือราว 300 ล้านบาร์เรล แต่สถิติดังกล่าวเป็นข้อมูลก่อนที่เวเนซุเอลาจะประสบกับวิกฤติครั้งใหญ่ ทั้งในทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลง จากที่เคยสูงถึง 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน เมื่อช่วงทศวรรษล่าสุด ลงมาอยู่ที่ราว 750,000 บาร์เรลต่อวัน แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งเคยลดลงเหลือเพียงวันละ 400,000 บาร์เรล
ขณะที่รัฐบาลกายอานายืนกราน ว่าพร้อมเจรจากับรัฐบาลเวเนซุเอลา “เพื่อหาทางออกร่วมกันโดยใช้สันติวิธี” แต่ “ประเด็นเกี่ยวกับการสูญเสียดินแดน” เป็นเรื่องที่จะไม่มีการประนีประนอมอย่างเด็ดขาด ด้านมาดูโรสั่งให้บริษัทพีดีวีเอสเอ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของเวเนซุเอลา เดินหน้าออกใบอนุญาตสำรวจแหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และแร่ธาตุ ในดินแดนเอสเซกิโบ พร้อมทั้ง “ยื่นคำขาด” ให้บริษัททุกแห่ง “ที่ได้รับใบอนุญาตจากกายอานา” ถอนตัวออกไป ภายในระยะเวลา 3 เดือน
ไม่ว่าทางออกของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร แต่การคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างเวเนซุเอลากับกายอานา ไม่น่าจะบานปลายถึงขั้นเป็นการขัดแย้งทางทหาร เนื่องจากเป็นความเสี่ยงที่จะเพิ่มแรงปะทะกับสหรัฐ ซึ่งแน่นอนว่า ต้องการรักษาผลประโยชน์ด้านน้ำมันของตัวเองอยู่แล้ว.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : AFP