กาลเวลาทำอะไรไม่ได้ ยิ่งนับวันยิ่งการันตีความแซ่บระดับตัวแม่ สำหรับ คริส หอวัง ที่สั่งสมประสบการณ์ด้านบันเทิงมาแล้วแทบทุกด้าน  ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นางแบบ เมนเทอร์ ผู้บริหารค่ายเพลง ล่าสุดกับบทบาทสุดท้าทายของ “รตา” ในละคร “ชีวิต
ภาคสอง”
ทางช่องวัน 31 คอลัมน์ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาด ชวนคริสมานั่งพูดคุยถึงทุกความท้าทายที่ขับเคลื่อนด้วยแพสชั่น

พูดถึงบทบาทของ “รตา” ในชีวิตภาคสอง?

       “จริง ๆ ต้องบอกว่าที่ผ่านมาทุกตัวละครที่คริสเล่นบทบาทไม่เคยซ้ำกัน ตรงนี้เลยเป็นชาลเลนจ์ของคริสที่ต้องทำการบ้านค่อนข้างหนัก อย่างตัวละคร “รตา” เราก็ต้องมีเหตุผลให้ตัวละคร เพราะไม่มีใครร้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกคนมีร้ายและดีผสมกัน คริสว่ารตาเป็นคนเอาจริง นักเลง ทำเพื่อตัวเอง และทำเพื่อคนอื่นด้วย ซึ่งพี่อาร์ต-จาริวัฒน์ ผู้กำกับก็ให้อิสระเราในการดีไซน์ เราเลยอิมโพรไวส์กันเยอะมาก ตรงนี้ถ้าเราทำการบ้านมาอย่างดี ใครจะหลุดไปทางไหนก็ไม่เป็นไร เราจะจำความรู้สึกของตัวละครได้ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทไหน เหมือนช่วงที่คุณพ่อคริสเสียใหม่ ๆ ใครพูดเรื่องพ่อเราก็จะรู้สึกเซนซิทีฟมาก ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราแสดงเป็นรตาเลยต้องรู้ว่าเขาผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะถึงตรงนี้”

ร่วมงานกับ อาตู่-นพพล และ ก็อต-จิรายุ?

“จริง ๆ คริสไม่อยากเล่นละครดราม่าแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เรารับละครดราม่าติดกันมา 2 เรื่อง พี่หวานเจี๊ยบผู้จัดการรู้ว่า คริสสติไม่ดีแล้ว (หัวเราะ) เพราะเวลาเราอยู่กับละครเรื่องหนึ่ง ทั้งร่างกายและจิตใจเราต้องทุ่มให้กับตัวละครนั้น แต่พอรู้ว่าเราต้องเล่นเป็นเมีย “อาตู่” ใจก็อยากรับเล่น และยิ่งรู้ว่า “ก็อต” มาเป็นอาตู่ตอนฟื้นคืนร่าง เลยตัดสินใจว่าเป็นดราม่าก็จะเล่น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ถูกมาก อาตู่กับก็อตเล่นเป็นคนเดียวกัน แต่เขาเล่นไม่เหมือนกันเลย รีแอ็กชันที่เราได้รับเป็นคนละแบบ แล้วอาตู่ก็คืออาตู่คริสเข้าฉากครั้งแรกตื่นเต้นมาก พูดสลับประโยคไปหมดเลย ส่วนก็อตก็เก่งมาก เขาจะคิดอะไรของเขามาจากบ้าน ซึ่งเราสองคนไม่เคยซ้อมบทกันก่อนเลยนะคะ เพราะฉะนั้นเวลาเล่นจะสดไปหมดทุกอย่าง เพราะคริสก็ไม่รู้ว่าก็อตจะทำอะไร ก็อตก็ไม่รู้ว่าคริสจะทำอะไร แม้แต่ผู้กำกับหรือคนที่อยู่หน้ามอนิเตอร์ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกคนก็ตื่นเต้น เวลาเจอคนเก่ง ๆ เราก็จะทำงานสนุก เหมือนเราตีเทนนิสส่งต่อกัน”

ร้ายจนคนดูหมั่นไส้?

“เวลาคัทแล้วคริสจะถามเสมอว่า น่าตบหรือยัง น่าหมั่นไส้หรือยัง ถ้ายังไม่ได้ขออีกที ให้เราส่งต่อสิ่งนี้ให้กับคนดูให้ได้ ยิ่งด่ารตา แสดงว่าคริสยิ่งประสบความสำเร็จในการทำงาน ยุคนี้ไม่มีแล้วนางร้ายที่ไปตลาดแล้วคนจะโยนเปลือกทุเรียน เพราะคนดูเดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนไป เขารู้ว่านี่คือการแสดง มีแต่เขาจะเข้ามาชมว่าเล่นได้น่าตบมากเลยค่ะ ตรงนี้แหละคือคำชมของคริส ซึ่งตอนนี้อยากไปเดินตลาดมาก เดี๋ยวรอสักตอนที่ 10 ก่อน จะลองไป อ.ต.ก.ซะทีนึง (หัวเราะ)”

ชีวิตภาคสอง แล้วภาคแรกเป็นยังไง?

“ใช่ มีคนถามคริสเหมือนกัน (หัวเราะ) เราก็เอ๊ะ … แล้วภาคแรกมีไหม จริง ๆ ชีวิตภาคสองในที่นี้เหมือนกับว่าถ้าเรามีโอกาสอยู่ไอซียูแล้วเสียชีวิตไปแล้ว อยู่ดี ๆ ลืมตาขึ้นมาก็อยู่ในร่างคนอื่น ย้อนร่างไป 30 ปีที่แล้ว กับร่างที่ได้ใหม่คุณจะตัดสินใจทำอะไรกับชีวิตคุณบ้าง”

มีอะไรที่คริสอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำ?

“มีอีกหลายอย่างบนโลกใบนี้มากเลยที่คริสยังไม่ได้ทำ แล้วไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า แต่ทุก ๆ บทบาท ไม่ว่าจะเป็นตัวละคร เมนเทอร์ หรืออะไรก็แล้วแต่ คริสพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงเวลานั้น ในอายุนั้น ในประสบการณ์ที่มีตอนนั้น ซึ่งตอนนี้เวลาทำงาน คริสจะรู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่มีคนเชื่อว่าเราทำได้ แม้บางทีเรารับงานมาแล้วจะรู้สึกว่ายากจังเลย แต่ถ้าถีบคริสขึ้นไปบนเวที คริสจะพยายามทำให้ดีที่สุดทุกครั้ง แม้อาจจะไม่ดีที่สุดสำหรับคนอื่น เพราะอาจจะมีคนอื่นเก่งกว่าเรา”

อีกหนึ่งบทบาทที่ท้าทายกับการเป็นผู้บริหารค่ายเพลง?

“เป็นเรื่องแปลกมากสำหรับชีวิตคริส เหมือนข้างบนเขาปูมาแล้ว คริสเกิดมาแล้วเรียนบัลเลต์ ถูกฝึกฝนให้อยู่ในกรอบและวินัย เรียนจบมาเป็นครู เป็นดีเจ อยู่ในวงการเพลงมาบ้าง แล้วก็มาเล่นหนัง มาเป็นเมนเทอร์ มาเล่นละคร ได้รับบทบาทต่าง ๆ ทุก ๆ อย่างก็มาผสมกันจนเป็นตัวคริสวันนี้ ด้วยอายุของเราก็คิดว่าต้องเปลี่ยนแชปเตอร์ของตัวเองแล้วเนอะ จะให้เรามาโป๊เหมือนตอนเราอายุ 20 เราจะทำเพื่ออะไร ซึ่งข้างในเราก็ไม่อยากทำ เลยคิดว่าจะเปิดโรงเรียนสอนเต้นดีไหม จะทำอะไรเกี่ยวกับเพลงดี หรือเราจะทำอะไรเกี่ยวกับนางแบบไหม หรือเราจะเป็นผู้จัดละครไหม ซึ่งมีคนมาชวนทำหมดทุกอย่างเลยที่พูดมา แต่สุดท้ายเรายังอ้ำอึ้ง จนอยู่ดี ๆ มีคนมาชวนคริสว่ามาเป็นผู้บริหารค่ายเพลงไหม เพราะเห็นเรามีความเป็นครู และชอบในแพสชั่นของคนที่ทำอะไรด้วยศิลปะ คริสนอนไม่หลับไป 3 วันเลย เพราะเป็นชาลเลนจ์ใหม่ของคริสที่แพ็กทุกอย่างตลอด 30-40 ปีที่คริสเกิดมาเลย (ยิ้ม) สะใจมาก แต่วงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็น
นักแสดง นักดนตรี ศิลปะต่าง ๆ ไม่มีใครรู้ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แค่เราต้องทำและเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกเหมือนตอนที่คริสเล่นละครเรื่องแรก มันเป็นแชปเตอร์ใหม่จริง ๆ ตอนแรกคริสก็ยังไม่รู้ตัวนะ เรามารู้ตัวตอนที่ข่าวออกแล้ว มีคนส่งดีเอ็ม ส่งไลน์มาทุกทิศทาง ซึ่งตอนนี้ถ้าให้คริสเลือกอันไหนอันนึง หรือหยุดงานในวงการบันเทิงไหม ก็คงไม่ เพราะทุกวันนี้คริสก็ยังมีแพสชั่นกับการแสดงอยู่ ยังอยากทำทุก ๆ อย่างอยู่”

จุดต่างของ 2 FLOW Entertainment กับค่ายเพลงอื่น ๆ ?

“จริง ๆ ค่ายเราเปิดย้อนศรจากค่ายอื่น ปกติถ้าคนคิดจะทำอุตสาหกรรมเพลง เขาก็จะออดิชั่นหาคนที่คิดว่าใช่มาเดบิวต์ แต่ค่ายของคริสเกิดจากรายการแข่งขันร้องเพลง เรามีเด็กอยู่กลุ่มหนึ่งที่เอามาพัฒนาเพื่อที่จะเดบิวต์ เราเลยต้องใช้ความเป็นครูในช่วงที่ต้องฝึกฝนเขา ซึ่งจริง ๆ หน้าที่คริสอยู่ในส่วนของการผลิต และโชว์บิสด้วยนิดหนึ่ง ว่าเขาเป็นนักดนตรีเขาควรจะไปทิศทางไหน ในคาแรกเตอร์ที่เขาเป็นเราควรเมกโอเวอร์เขาได้ยังไงบ้าง ทำเอ็มวียังไง โลโก้ควรเป็นยังไง จะโปรโมตไปในทิศทางไหน เพลงนี้อยากให้ไปฮิตในติ๊กต็อก หรืออยากให้เอ็มวีสวย เราก็ต้องดูงบในส่วนนี้ด้วย”

กับตำแหน่งผู้บริหารค่าย กดดันไหม เพราะเหมือนเราต้องแบกความฝันของคนอื่นด้วย?

“ความกดดันอย่างแรกเลยคือการทำค่ายเพลงใช้เงินเยอะ เรากำหนดไม่ได้ว่าเพลงแมสอาจจะไม่ดังก็ได้ เพลงไม่แมสอยู่ดี ๆ อาจจะดังก็ได้ เพลงไม่ได้ตั้งใจทำเท่าไหร่ แบบที่เขาชอบพูดกันว่า เพลงนี้ผมเขียน 5 นาที อยู่ดี ๆ ดังก็มี แต่เพลงที่เราตั้งใจคิดคอนเซปต์ทำกันมาสองเดือนไม่ดังก็มี เอ็มวีใช้เงินสองล้านไม่ดัง พออีกเอ็มวีหนึ่งใช้สองแสนดังก็มี เพราะฉะนั้นไม่มีใครบอกเราได้จริง ๆ พอไม่มีอะไรบอกเราได้ คริสว่าแพสชั่นคือสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นนักแสดง ของการเป็นศิลปิน เพราะอย่างนักแสดงเราเล่นไปเต็มที่ทุกอย่าง พีอาร์ก็ทำงาน ค่ายก็ทำงาน ช่องก็ลงทุน ก็ไม่มีใครรู้”

วงการบันเทิงมีวัฏจักรของมัน คริสมองเรื่องนี้ยังไง?

“คริสคิดแบบนี้นะ ชีวิตเราจะขึ้นหรือจะลงก็เหมือนคริปโต เหมือนกราฟหุ้น คนเราจะขึ้นอย่างเดียวไม่ได้ อาจจะจะมีขึ้น มีลงมานิดหนึ่ง แล้วก็มีขึ้น แต่ถ้ามันดิ่งตลอด แสดงว่าเราต้องทำอะไรผิดพลาดแล้ว ซึ่งตรงนี้อยู่ที่สภาพจิตใจเราด้วย บางคนดิ่งด้วยสภาพจิตใจว่าทำไมวันนี้งานเราไม่เยอะเหมือนเดิม นั่นแสดงว่าเราต้องเปลี่ยนบทบาทสิ เพราะฉะนั้นถ้าวันหนึ่งมันจะลงไป มันลงไปในด้านไหนล่ะ ตอนนี้งานเรามีกี่ยูนิตล่ะ ถ้ามันจะลงไปบ้างในยูนิตนี้ แต่อีกยูนิตหนึ่งเป็นขาขึ้นก็โอเค อยู่ที่จิตใจเราว่าต้องการอะไร เราต้องการดัง เราต้องการเงิน เราต้องการถ้วย เราต้องการสิ่งตอบแทน กราฟนี้อยู่ที่ใจเราคิดว่าต้องการอะไร แต่ถ้าพูดถึงความฮอต หรือความดัง หรืองานที่เยอะ วันที่เราทำงานวันละ 3 งาน เราก็ต้องเบียดใครออกไปหรือเปล่า เพราะฉะนั้นเราทำมาเยอะแล้ว อาจจะถึงเวลาที่เราต้องให้คนอื่นกลับคืนแล้วหรือเปล่า ทำค่ายเพลงเหมาะแล้ว (ยิ้ม)”

ถามเรื่องความรักบ้าง เป็นยังไงบ้างตอนนี้?      

“สดชื่นตลอดเวลา ไม่เคยไม่สดชื่นเลย (ยิ้ม) จริง ๆ พออายุเรามากขึ้น เรื่อง 5 ปีที่ผ่านมา ความคิดของคริสก็แอดวานซ์ขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย เคยสัมภาษณ์กับเดลินิวส์แล้วว่า ไม่อยากจะมีลูกแล้ว เพราะเราอายุเยอะขึ้นแล้ว จะให้ฉันมาท้อง กว่าลูกฉันจะจบมัธยมเราตายยังนะ แล้วโลกมันอยู่ยาก พอแอดวานซ์ขึ้นมา พอเราเฉย ๆ กับการมีลูก งานแต่งเราก็เฉย ๆ เราก็ยิ่งแอดวานซ์ขึ้นไปอีกว่า งั้นเราเอาความสุขของตัวเราและวันนี้ ใครก็ตามที่มาเจอกัน แล้วเรามอบความสุขให้เขา เขามอบความสุขให้เรา แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะเราไม่ได้จะไปเอาอะไรจากเขา เราไม่ได้จะให้เขาซื้อบ้านให้นะ แค่มีความสุขให้กันและกันก็พอ แล้วถ้าวันหนึ่งอยู่ดี ๆ ความคาดหวังของเราเขาทำให้ไม่ได้ หรือความคาดหวังของเขาเราทำให้ไม่ได้ เราแยกทางกันได้ แล้วก็ขอบคุณกันซะว่าช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา เราขอบคุณนะ มีความสุขมากเลย ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกันเลยค่ะ เราไม่จำเป็นต้องเอาความสุขของเราไปแขวนไว้กับใครบางคนมากขนาดนั้นแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วเราจะเสียใจจากความคาดหวังของเราเองค่ะ แต่ผู้หญิงต่อให้สตรองแค่ไหน บางทีเขาอาจจะสตรองโดยจำเป็น แต่กลับบ้านเขาก็อยากตัวเล็ก อยากแค่นั่งคุยว่าวันนี้เหนื่อยมากเลย แค่นั้นหรือเปล่า เพียงแต่ว่าต้องหาคนที่ไลฟ์สไตล์ไปกับเราได้ เพราะคริสก็ค่อนข้างสวิงมาก ผ้าใบก็ได้ ส้นสูงก็ได้ ก็ต้องหาคนที่ไปกับเราได้”

มีอะไรอยากฝากแฟน ๆ ไหม?

“คริสอยากขอบคุณแฟน ๆ ทุกคนที่เหนียวแน่นกันมาตลอดเลย ไม่ว่าคริสจะทำอะไรในระยะเวลา 10-12 ปีที่ผ่านมาก็คอยซัพพอร์ตกันตลอดเลย ยังไงก็ฝากละครชีวิตภาคสองด้วยนะคะ เดี๋ยวจะเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งตัดสินว่าใครเป็นคนดีหรือไม่ดี”.

นฤมล แซ่แต้ : เรื่อง / พิชญวัฒน์ ปรุงศักดิ์ : ภาพ