นั่นคือความเห็นว่า “วิกฤตครั้งใหญ่” เพราะความล้มเหลวครั้งสำคัญของมาตรการควบคุมโรค ระหว่างการประชุมใหญ่พรรคคนงานแห่งเกาหลี หรือพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ส่งผลให้โลกภายนอกพากันคาดเดากันไปว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเกาหลีเหนือนั้นมันเลวร้ายขนาดไหนกันแน่
“ตู ฮยอง ชา” นักวิเคราะห์สถาบันเอเชียเพื่อการศึกษานโยบาย ในกรุงโซล บอกว่า เกาหลีเหนืออาจกำลังเผชิญกับการระบาดครั้งใหญ่ที่ลุกลามไปทั่วแล้ว ทั้งเมืองตามพรมแดน ชนบทและอาจมาถึงศูนย์กลางเมืองใหญ่ อย่างในกรุงเปียงยางแล้วก็ได้
เกาหลีเหนือเคยแจ้งกับองค์การอนามัยโลกว่า ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อแม้แต่รายเดียวหลังจากตรวจหาเชื้อกว่า 30,000 คน ซึ่งผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยกับคำอ้างดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างสาธารณสุขของประเทศแล้ว นักวิเคราะห์ชาบอกว่า เกาหลีเหนือไม่มีทางอื่นใดที่จะรับมือกับการแพร่ระบาดได้ นอกจากการกักตัวเพื่อดูอาการ และล็อกดาวน์ทั้งพื้นที่จนกว่าการติดเชื้อจะลดลง
ส่วนนักวิเคราะห์รายอื่น ๆ เช่น “ปาร์ค วอน กอน” ศาสตราจารย์ด้านการศึกษาเกาหลีเหนือแห่งมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา ในกรุงโซล บอกว่า การประชุมคณะกรรมการกรมการเมือง มีเจ้าหน้าที่พรรคจากทั่วประเทศเข้าร่วมประชุมเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ก่อนหน้า ซึ่งการประชุมจะเกิดขึ้นไม่ได้แน่ หากการแพร่ระบาดรุนแรง
“อาห์น คยอง ซู” หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านสุขภาพและสวัสดิการเกาหลีเหนือ ตั้งอยู่ในกรุงโซลบอกว่า แล้วถ้าเกิดระบาดรุนแรงจริง ทางการเกาหลีเหนือจะต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด เช่น ปิดพื้นที่ได้รับผลกระทบ ถึงขนาดที่ว่ากลุ่มสังเกตการณ์จากภายนอกจะจับความเคลื่อนไหวไม่ได้เลย
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงพุ่งตรงไปที่ประเด็นถ้อยแถลงของผู้นำคิม ว่านี่เป็นสัญญาณเพียงพอแล้ว ที่จะต้องปรับเปลี่ยนระดับผู้นำในเปียงยาง
สื่อของรัฐของเปียงยางรายงานว่า ผู้นำคิมกล่าวตำหนิอย่างรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคและรัฐบาล ฐานละเลยการตัดสินใจครั้งสำคัญของพรรคในการใช้องค์กรหน่วยงานสถาบัน กลไก มาตรการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามที่ร้องขอ เพื่อให้มาตรการควบคุมโรคของรัฐปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืนยาว
การประชุมคณะกรรมการกรมการเมืองซึ่งมีผู้นำคิมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีก 4 คนอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน หนึ่งในนั้นน่าจะเป็น “คิม ตอก ฮัน” นายกรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศษฐกิจ ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบความล้มเหลวในการหยุดยั้งการแพร่ระบาด
นอกจากนั้นก็ยังประเมินกันไปอีกว่า ผู้นำคิมอาจจะปลด “รี พยอง ชอล” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพ ซึ่งภาพจากข่าวโทรทัศน์ของเกาหลีเหนือแสดงให้เห็นว่าเขาได้แต่มองต่ำ และไม่ได้มีส่วนลงมติขณะที่ผู้นำคิมและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ยกมือแสดงความเห็นด้วยกับมติในที่ประชุม แต่ข่าวไม่ได้บอกว่าเป็นมติอะไร
หากไม่ได้เผชิญกับการแพร่ระบาดรุนแรงแล้ว เกาหลีเหนือไม่มีทางที่จะยอมรับในเรื่องนี้ เมื่อผู้นำคิมออกมาประกาศว่า พบกับความล้มเหลวครั้งใหญ่ในการหยุดยั้งการแพร่ระบาด จึงอาจเป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่ส่งถึงโลกภายนอกว่าเกาหลีเหนือต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งนักวิเคราะห์ชาก็มองว่า น่าจะเป็นจีนพันธมิตรที่สำคัญยิ่งและคู่ค้าทางเศรษฐกิจตลอดกาลของเกาหลีเหนือ ซึ่งกำลังจะครบรอบ 60 ปีสนธิสัญญามิตรภาพในเดือนหน้า
ศาสตราจารย์ลีฟ-เอริก เอียสลีย์ อาจารย์ด้านการศึกษาระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยสตรีอีฮวา บอกว่า ผู้นำคิมพยายามหาแพะรับบาปเรื่องการแพร่ระบาด เพื่อที่จะได้เตรียมรับวัคซีนช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งโครงการโคแวกซ์ที่มีสหประชาชาติหนุนหลังประกาศไว้ตั้งแต่ก.พ.ที่ผ่านมาว่า เกาหลีเหนือจะได้รับวัคซีน 1.9 ล้านโดสในครึ่งปีแรกของปีนี้ แต่แผนการต้องเลื่อนไปก่อน เพราะขณะนี้กำลังขาดแคลน.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AP