รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ยังไม่ทันจะแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ให้กับทุกคนที่อายุ 16 ปีขึ้นไป ตามนโยบายที่เคยหาเสียงไว้เลย!

แต่เมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นตัดหน้าไปก่อนแล้ว โดยประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่าประมาณ 17 ล้านล้านเยน (กว่า 4 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นเงินได้รับการสนับสนุนจากการจัดทำงบประมาณพิเศษ สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือน มี.ค. 67

โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรเทาค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น จากผลกระทบเงินเฟ้อในภาคครัวเรือน ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดภาษีเงินได้และที่อยู่อาศัย 40,000 เยน/คน (ประมาณ 9,600 บาท) การแจกเงินสด 70,000 เยน (ประมาณ 16,700 บาท) ให้กับครัวเรือนรายได้น้อย เพิ่มการอุดหนุนเชื้อเพลิง และจะมีกองทุนส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงอุตสาหกรรมผลิตชิปและทางด้านอวกาศด้วย

นี่ขนาดญี่ปุ่นที่ว่าแน่ ๆ เนื่องจากเป็นประเทศที่มี “ขนาดเศรษฐกิจ” ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก (ปี 66) ด้วยมูลค่าจีดีพี 4.23 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ร่วงลงมาจากอันดับที่ 3 เมื่อปี 65 ยังต้องใช้เงินจำนวนมากอัดฉีดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่

Free photo architecture japan city urban road

ส่วนประเทศไทยขนาดเศรษฐกิจอยู่ในอันดับที่ 28 ของโลก (ปี 65) ด้วยมูลค่า 522 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 19.8 ล้านล้านบาท ดังนั้นการจะแจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อฉุดกำลังซื้อภายในประเทศ จึงถือว่าไม่มาก แค่ 5.6 แสนล้านบาทเท่านั้นเอง จากงบประมาณผูกพันข้ามปี 4 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 140,000 ล้านบาท

ทำไมจึงต้องกระตุ้นด้วยเงิน 5.6 แสนล้านบาท เพราะ 1.ภาวะเศรษฐกิจโลก-เศรษฐกิจไทยไม่ดีเลย กำลังซื้อแผ่วเบามาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด

2.หน่วยงานรัฐ-เอกชน ต่างปรับตัวเลขประมาณการ“จีดีพี” เฉลี่ยทั้งปี 66 จากเดิม 3% กว่าๆ ลงมาเหลือแค่ 2.4-2.5% และตอนนี้นักเศรษฐศาสตร์หลายคนพูดเข้าหู “พยัคฆ์น้อย” ว่า“จีดีพี” เฉลี่ยในปี 67 จะถึง 2% หรือเปล่ายังไม่รู้?

3.ความล่าช้าของการจัดทำงบประมาณปี 67 จึงยังไม่มีเม็ดเงินออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการจัดซื้อจัดจ้างต่าง ๆ ของภาครัฐเลย! กว่าจะมีการจัดซื้อจัดจ้างคงราว ๆ เดือนมี.ค.-เม.ย. 67 ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีปัญหามากขึ้นไปอีก

4.ปัจจุบันปัญหาหนี้ครัวเรือน กลายเป็นตัวฉุดกำลังการบริโภค-การลงทุน ขณะที่รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่หมดไปกับการชำระหนี้ ดังนั้นจึงเห็นสภาพบ้านมือสองประกาศขาย-ถูกยึดเต็มไปหมด รถยนต์มือสองจอดกันเต็มเต็นท์ และที่น่าหวาดเสียวมากคือ ถ้าบริษัทขนาดใหญ่ผิดนัดชำระ “หุ้นกู้” เมื่อครบกำหนดไถ่ถอน คงจะดูไม่จืด!

5.จากข้อมูลที่ว่ารัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท เมื่อปี 63 แต่ปั่น “จีดีพี” ให้โตแค่ 0.63% และกู้อีกรอบ 5 แสนล้านบาท แต่จีดีพีโตขึ้น 1.1% คงนำมาเปรียบเทียบกับโครงการแจกเงินดิจิทัลฯไม่ได้ เพราะคนละบริบท และคนละสถานการณ์กัน

ประเทศไทยมี 878 อำเภอ บวกกับ 50 เขตของกรุงเทพฯ คิดง่าย ๆ รวมกันคือ 928 อำเภอ กับโครงการเงินดิจิทัลฯ ขนาด 5.6 แสนล้านบาท ค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่อำเภอละ 603 ล้านบาท แต่สภาพความเป็นจริงคือขึ้นอยู่กับจำนวนประชากรที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป

แต่อย่างน้อยในอำเภอเล็ก ๆ ต้องมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่าหลักร้อยล้านบาท จับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนกัน 2-3 รอบเป็นอย่างน้อย มันจะช่วยสร้างแรงกระเพื่อม เกิดแรงเหวี่ยงทางเศรษฐกิจ ให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาเป็น 1-2 ล้านล้านบาท ได้อย่างไม่ยากเย็น

นี่คือเมกะโปรเจกต์กระตุ้นเศรษฐกิจขนาด 5.6 แสนล้านบาท ที่จะใส่เงินถึงมือประชาชนโดยตรง! ไม่ต้องอ้อมผ่านระบบราชการ (ค่าคิดโครงการ-ค่าตรวจรับงาน) และผู้รับเหมา!!

——————–
พยัคฆ์น้อย