โดยพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มาตรา 107 ระบุ ห้ามผู้ใดมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ประเภท 2หรือประเภท 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 เพื่อเสพ
การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท1ประเภท 2 หรือประเภท 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ในปริมาณเล็กน้อยซึ่งไม่เกินปริมาณที่รมว.สาธารณสุข กำหนดในกฎกระทรวง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ
กลายเป็นโจทย์ที่ถูกพูดถึงกันมาก เพราะแม้กฎหมายหลักจะมีผลบังคับใช้เกือบ 2 ปีเต็ม แต่ที่ผ่านมายังไม่มีกฎกระทรวงกําหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. …. ของกระทรวงสาธารณสุขออกมาบังคับใช้
“ทีมข่าวอาชญากรรม” ไล่เรียงข้อเสนอปริมาณครอบครองที่ออกมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ โดยปริมาณที่ถูกพูดถึงแต่แรกคือ 15 หน่วยการใช้ หรือ “15 เม็ด”ขึ้นไป จึงเข้าข่ายเป็นผู้ค้า ต่ำกว่า 15 เม็ด ถือว่าครอบครองเพื่อเสพ
ก่อนที่ต้นปีที่ผ่านมานายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ขณะนั้นจะเสนอแนวคิดแก้ไขร่างกฎกระทรวงให้ผู้ครอบครองยาบ้าเกิน “1 เม็ด” สันนิษฐานว่าเป็นผู้ขาย แต่สุดท้ายร่างกฎกระทรวงดังกล่าวก็ยังไม่ผ่านขั้นตอนออกมาบังคับใช้
กระทั่งเร็วๆนี้นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข คนปัจจุบัน เผยปริมาณแบ่งแยกการครอบครองระหว่างผู้เสพ และผู้ค้าควรกำหนดไม่เกินที่ “10 เม็ด” ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นที่ยุติและประกาศใช้ในเดือนธ.ค.
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้มีการออกมาให้ข้อสังเกตถึงความเหมาะสมของกำหนดปริมาณดังกล่าว ซึ่งอาจมากไปหรือไม่สำหรับการครอบครองเพื่อเสพ และเสนอความเหมาะสมอยู่ที่“5 เม็ด”
หนึ่งในผู้มองความเหมาะสมปริมาณ“5 เม็ด” คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. ซึ่งระบุการกำหนดปริมาณ “5 เม็ด” เคยผ่านการหารือของศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศอ.ปส.ตร.) สมัยผบ.ตร.คนก่อน เหตุผลที่กำหนด “5 เม็ด” เพราะเป็นปริมาณที่ผู้ค้ารายย่อยไม่คุ้มค่า“ความเสี่ยง”ถูกดำเนินคดี
ขณะที่“10 เม็ด”เป็นปริมาณที่ผู้ค้ารายย่อยนิยมขายในชุมชน เป็นเหตุให้เลี่ยงดำเนินคดีด้วยการสมัครใจบำบัด จนเกิดปัญหาแพร่ระบาด มีผู้ค้ารายย่อยเพิ่มขึ้น และอาจพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ค้ารายใหญ่
เช่นเดียวกับ พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส. เผยในฐานะผู้บังคับใช้กฎหมาย การกำหนดปริมาณ “10 เม็ด” อาจมีผลต่อจำนวนผู้ค้ารายย่อยที่มากขึ้น เพราะไม่เกรงกลัวกับการที่สามารถพกได้ถึง “10 เม็ด” ไม่ต้องรับโทษฐานครอบครองเพื่อจำหน่าย พร้อมแนะยึดหลักพฤติการณ์ที่แม้พกเพียง “1 เม็ด” แต่มีประวัติหรือพบว่าครอบครองเพื่อจำหน่ายมาตลอด จะไม่ใช่การครอบครองเพื่อเสพ
“ที่ผ่านมาจากรายงานการจับกุมพบว่าผู้ใช้สารเสพติด 100 ราย มักเป็นผู้ค้าแล้ว 12 ราย การปรับเกณฑ์พกยาบ้าได้มากขึ้น จึงเป็นความเสี่ยงต่อการเพิ่มจำนวนผู้ค้ารายย่อย”
อย่างไรก็ตาม จากมติล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ปริมาณครอบครองเป็นเอกฉันท์ว่าไม่เกิน “5 เม็ด” ให้สันนิษฐานเป็นผู้เสพ ซึ่งหลังจากนี้ยังต้องติดตามว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหลังกระบวนรับฟังความเห็นใดๆ ก่อนเสนอครม.อีกหรือไม่
ถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าทิศทางการแก้ปัญหายาเสพติดของไทยเป็นไปตามทิศทางสากลคือ ใช้สาธารณสุขนำ ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย ประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ที่บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 พ.ย.64 คือการพลิกโฉมที่ชัดเจนจากสาระสำคัญที่เน้นเอาผิดตัวการหลักจริงจัง และแยกผู้เสพออกไปบำบัดรักษา
จากข้อมูลผู้ต้องราชทัณฑ์คดีพ.ร.บ.ยาเสพติดทั่วประเทศ ณ วันที่ 1 พ.ย.66 มี 204,147 คน คิดเป็นร้อยละ 81 เมื่อเทียบกับผู้ต้องขังทั่วประเทศ ในจำนวนนี้เป็นนักโทษเด็ดขาด 166,309 คน ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี 33,816 คดี เยาวชนที่ฝากขัง 2 คน ผู้ถูกกักกัน 18 คน และผู้ต้องกักขัง 4,002 คน
ทั้งนี้ เมื่อย้อนข้อมูลไปช่วงเวลาเดียวกันของปี 64 และปี 65 ที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่มีผลบังคับใช้ พบว่าปี 64 มีผู้ต้องขังคดียาเสพติดในเรือนจำ 232,500 คน ส่วนปี 65 มี 207,668 คน
แม้มีแนวโน้มลดลง แต่การที่ผู้ต้องขัง“เกินครึ่ง”ยังคงเป็นผู้กระทำผิดคดียาเสพติด การกำหนดปริมาณชี้โทษ หรือส่งบำบัด ย่อมถูก“โฟกัส”เป็นธรรมดา เพราะจำนวนผู้ต้องขังสะท้อนผลลัพธ์รูปธรรมการแก้ปัญหาได้ชัดเจนที่สุด.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน