มีข่าวกระทรวงกลาโหม และกองทัพเรือ จะยกเลิกสัญญาการจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำแรกจากประเทศจีน แล้วเปลี่ยนเป็นการซื้อเรือฟริเกต เรือรบ 3 มิติ (อากาศ-ผิวน้ำ-ใต้น้ำ) ลำละประมาณ 14,000-17,000 ล้านบาท จากประเทศจีนแทน
ย้อนกลับไปวันที่ 18 เม.ย. 60 คณะรัฐมนตรีรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม อนุมัติซื้อเรือดำน้ำดีเซล-ไฟฟ้า รุ่นหยวน คลาส S-26T จากประเทศจีน 1 ลำ วงเงินงบประมาณ 13,500 ล้านบาท แบ่งชำระเงิน 7 ปี 17 งวด ประเดิมงวดแรกปี 60 จำนวน 700 ล้านบาท ส่วนปี 61-66 ชำระเฉลี่ยปีละ 2,100 ล้านบาท
โดยมี พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ เสนาธิการทหารเรือ (ในขณะนั้น) ในฐานะประธานกรรมการบริหารโครงการจัดหาเรือดำน้ำเป็นผู้แทน พล.ร.อ.ณะ อารีนิจ ผบ.ทร. ไปลงนามกับบริษัท China Shipbuilding & Offshore International Co. Ltd. ในข้อตกลงจ้างสร้างเรือดำน้ำ ลำที่ 1 โดยมีกำหนดส่งมอบเรือดำน้ำให้กองทัพเรือไทยในปี 70
สำหรับสาระสำคัญในการทำข้อตกลงจ้างนั้น กำหนดให้เรือดำน้ำ S-26T มีเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับขับเครื่องกำเนิดไฟฟ้ารุ่น MTU396 จากเยอรมนี 3 เครื่อง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชุดเครื่องกำเนิดไฟฟ้า เพราะจีนไม่เคยต่อเรือดำน้ำขายให้ใครเลย แม้แต่กองทัพเรือจีนก็ใช้เรือดำน้ำจากรัสเซียทั้งนั้น ไทยจึงเป็นลูกค้ารายแรกของเรือดำน้ำจากจีน
ดังนั้นเมื่อจีนเป็น “มือใหม่” ในการต่อเรือดำน้ำ จึงต้องใช้บริการเครื่องยนต์เยอรมนี ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เข้ามาติดตั้งในเรือดำน้ำที่จีนเป็นคนต่อ แต่เนื่องจากภายหลังเยอรมนีมีนโยบายระงับการส่งออกสินค้าที่อยู่ในรายการควบคุม ส่งผลให้การจำหน่ายเครื่องยนต์ อะไหล่ที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงของเยอรมนี ต้องได้รับอนุมัติจากรัฐบาลเยอรมนี
ทางฝ่ายจีนจึงไม่รู้ว่าจะหาเครื่องยนต์จากไหนมาใส่ ครั้นจะใส่เครื่องยนต์ที่จีนเพิ่งพัฒนาขึ้นมา ก็ผิดเงื่อนไขของสัญญา และที่สำคัญคือคุณภาพ-มาตรฐานเครื่องยนต์จีน คนใช้งานคือทหารเรือไทยยอมรับได้หรือเปล่า?
“พยัคฆ์น้อย” ขอเสนอแนะเรื่องเรือดำน้ำที่กำลังมีปัญหา เพราะหาเครื่องยนต์มาใส่ตามสัญญาไม่ได้ ไปยังนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ก่อนที่นายสุทินจะถูกพรรคก้าวไกล “ล็อกเป้า” ถล่มจมไปพร้อมกับเรือดำน้ำจีน ดังนี้
1.เรือดำน้ำ ไม่เกี่ยวกับเรือฟริเกต เป็นคนละเรื่อง คนละเวลา อย่าเอามาปนกัน อย่าจับแพะชนแกะให้คนสับสน
2.ควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่า ซื้อเรือดำน้ำแล้วไม่ได้เรือดำน้ำตามสัญญา ใครผิดสัญญา?
3.ถ้าจีนผิดสัญญา ต้องบังคับตามสัญญา คือเอาเงิน 7,000-8,000 ล้านบาท ที่ไทยจ่ายไปแล้วมาคืนก่อน อย่าเพิ่งพูดถึงเรือฟริเกต
4.ถ้าจีนคืนเงินก้อนนี้เมื่อไหร่ จะรู้ทันทีตามที่สังคมไทยซึ่งติดตามเรื่องดังกล่าวมานาน เนื่องจากตั้งข้อสงสัยเรื่อง “เงินทอน” และเป็นการซื้อ-ขายกันแบบ “จีทูจี” จริงหรือไม่!
“พยัคฆ์น้อย” ค่อนข้างมั่นใจว่าในการพบกันระหว่างนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เมื่อสัปดาห์ก่อน ไม่มีการพูดถึงปัญหาเรือดำน้ำ
5.ต้องฝากไปยัง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานป.ป.ช. นายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข กรรมการ ป.ป.ช. ควรตั้งแท่นตรวจสอบว่ากองทัพเรือจะได้ “เงินคืน” กลับมาครบหรือไม่? หรือ “ตกหล่น” ไปตรงไหนบ้าง? หลังจากนั้นความจริงจะกระจ่างเพิ่มขึ้นไปอีกว่าเป็นสัญญา “จีทูจี” หรือไม่?
เมื่อสั่งซื้อเรือดำน้ำแล้วไม่ได้เรือดำน้ำ ไม่ได้เครื่องยนต์ตามสัญญา ก็ต้องบังคับตามสัญญากับบริษัทนั้น คือ ต้องคืนเงินกลับมาก่อน ส่วนเรื่องอื่นไว้คุยกันภายหลัง
ตอนนี้หลายคนลุ้นว่า ถ้าถึงขั้นตอนการ “คืนเงิน” จะมีอะไรโผล่มาหรือไม่อย่างไร? และจะนำไปสู่การไขปริศนาเรื่อง “เงินทอน-จีทูจี” หรือไม่?
ดังนั้นนายสุทินต้องอย่าใจร้อน หรือว่าเป็น รมว.กลาโหม ยังไม่ถึง 2 เดือน แต่เคลิ้มไปกับเสียงของพลแตรเป่าทำความเคารพเช้า-เย็น เสียแล้ว!!
——————–
พยัคฆ์น้อย