ทั้งนี้ “กระแสกระสือ” ล่าสุดเกิดขึ้นหลังมีผู้พบ วัตถุมีแสงบินล่องลอยยามค่ำคืน ลักษณะคล้ายหัวคนและมีไส้ ซึ่งผู้ที่พบเชื่อว่าคือ “กระสือ??” แล้วยิ่งมีกระแสอื้ออึงหลังมีผู้ประกาศ “ตั้งค่าหัวกระสือ 1 ล้านบาท!!” ถ้าใครสามารถจับมาให้ได้ จากนั้นก็ตามมาด้วยกระแสอีกส่วนคือกระแสการ “ตั้งทีมล่าผีกระสือ”…

ใครเชื่อ?-ใครไม่เชื่อ? นั่นก็สุดแท้แต่…

แต่เหล่านี้ “ตอกย้ำถึงกระแสผีกระสือ

กระแส “เรื่องนี้ไม่เคยหายไปจากไทย!!”

ทั้งนี้… “กระแสผีกระสือ”ที่ปรากฏขึ้นล่าสุดนั้น…เป็นอีกคิว-เป็นอีกครั้งจากกระแสมากมายหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนของ “ผีกระสือ” ซึ่งจากคำบอกเล่าตามข่าว…ครั้งนี้มีการระบุว่าถึงขั้น “เห็นหน้าตา-เห็นแยกเขี้ยว-เห็นหัวห้อยไส้เรืองแสง” แบบจัง ๆ เลยทีเดียว?!?!? ซึ่งใครคิดเห็นเป็นประการใดนั่นย่อมสุดแท้แต่…แต่ที่แน่ ๆ กระแสผีกระสือยังไม่เคยห่างหายจากสังคมไทย ซึ่ง แม้แต่ในช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนัก…ช่วงนั้นก็มี “กระแสกระสือโผล่??” หลายกรณี …แน่มั้ยล่ะ?!?!?

ย้อนดูเรื่องราวเกี่ยวกับ “ผีกระสือ”… นี่เป็นหนึ่งใน “ความเชื่อเกี่ยวกับผี” ที่มีในไทยมานานนับแต่อดีตกาล “มีจวบจนยุคดิจิทัล” เช่นปัจจุบันโดยที่เรื่อง“ผี” กับมุม “ความเชื่อ” ในไทยนั้น…วันนี้ทาง “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” พลิกแฟ้มสะท้อนไว้อีกครั้งว่า…ในกลุ่ม “ผีไทยอมตะ-ผีดังอมตะ” นอกจาก “ผีปอบ” ที่ยังคงดังต่อเนื่องแล้ว…ผีที่ดังแรงดีไม่มีแผ่วอีกชนิดนั้นก็ต้องยกให้ “ผีกระสือ” ซึ่งก็สะท้อนชัดเจนจากที่เพิ่งมีกรณีฮือฮาอื้ออึงในวงกว้างล่าสุด โดยทั้ง “ผีปอบ” และ “ผีกระสือ” นี่…

ต้องจัดอยู่ในกลุ่ม “ผีหัวแถว” ในไทย

ที่แม้แต่ “คนไม่เชื่อเรื่องผีก็ยังคุ้นชื่อ”

กล่าวสำหรับ “ผีกระสือ” ตามตำนานความเชื่อ ตามคำร่ำลือที่ตกทอดสืบต่อกันมาเนิ่นนานนั้น… “ผี” ชนิดนี้มักจะเป็นผี “ผู้หญิง” โดยเมื่อพูดถึงผีกระสือก็จะมี “ผีผู้ชาย” ที่คนเชื่อเรื่องผีมักนึกถึงด้วยคือ “ผีกระหัง” แต่กระสือก็จะมีเรื่องราวเฉพาะ มีจุดเด่นอยู่ที่เมื่อถึงกลางคืนจะ “ถอดหัวและตับไตไส้พุงออกจากตัว” ล่องลอยตระเวนหากินของสด-ของคาว-ของสกปรก โดย “มีแสงเรือง ๆ สว่างวาบ ๆ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ” ด้วย ซึ่งสมัยโบราณกาลจะเชื่อกันว่าหากบ้านไหนคลอดลูกใหม่ ๆ กลิ่นคาวเลือดจากการคลอดลูกอาจชักนำผีกระสือมาป้วนเปี้ยน?? นอกจากนี้ กับเรื่องราวความเชื่อก็ยังมีในส่วนที่…

“คนเล่นของ-หมอไสยศาสตร์” นั้น…

“ทำผิดเคล็ดวิชาจะกลายเป็นผีกระสือ”

ทั้งนี้ แม้แต่ใน “มุมวิชาการ” ก็ยังให้ความสนใจ “ศึกษาเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีกระสือ” ด้วยเช่นกัน และก็มีบทความชิ้นหนึ่งของทาง สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากการศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับ “มุมความเชื่อ” เกี่ยวกับผีชนิดดังกล่าวนี้ ซึ่งโดยสังเขปนั้น…ได้มีการระบุไว้ว่า… จากการศึกษารวบรวมพบว่า ความเชื่อเรื่องกระสือมีปรากฎในนิทานมากมายหลายเรื่อง อย่างเรื่อง “มณีพิชัย” เป็นต้น โดยมีเรื่องราวในนิทานที่ได้ระบุถึง “กระสือ” ไว้ประมาณว่า…

…นางจันทรซึ่งเป็นมารดาของพระมณีพิชัยไม่ชอบนางยอพระกลิ่นลูกสะใภ้ จึงคิดจะกำจัดนางยอพระกลิ่น จึงฆ่าแมวแล้วลอบเอาหางแมวเหน็บไว้ที่มวยผมและเอาเลือดแมวป้ายที่ปากนางยอพระกลิ่น และกล่าวหานางยอพระกลิ่นว่า…เป็น ผีกระสือ ที่ลอบจับแมวมากิน จากนั้นจึงสั่งให้จับนางยอพระกลิ่นใส่หีบไปฝังทิ้งไว้ในป่า จนร้อนถึงพระอินทร์ต้องเสด็จลงมาช่วย …นี่เป็นบางส่วนของ “นิทานโบราณ” ที่ก็ได้มีการพูดถึง“กระสือ”ซึ่งก็สะท้อนชัดเจนว่า…

“ความเชื่อผีกระสือ” นี่มีมาแต่โบราณ…

และ “ถึงยุคดิจิทัลก็ยังมีผู้ที่เชื่อไม่น้อย”

อย่างไรก็ตาม นอกจาก “ผีกระสือ” แล้ว…กับผีไทยที่ “มีกระแสเป็นผีดังอมตะ” อยู่ใน “กลุ่มผีหัวแถว” ที่โด่งดังสูสี อย่าง “ผีปอบ” นี่ก็น่าพลิกแฟ้มสะท้อนเสริมไว้ด้วย ซึ่ง ใน “ยุคดิจิทัล-ยุคโซเชียล” ยุคนี้ “กระแสผีปอบก็ยังอื้ออึง” อยู่เนือง ๆ เช่นกัน โดยตำนานความเชื่อ-เรื่องราวเล่าขานสืบต่อกันมาแต่โบราณเกี่ยวกับ “ผีปอบ” นั้นก็อัศจรรย์ไม่แพ้ผีกระสือ โดยสรุปมีว่า…ผีปอบก็เกิดจากผู้ฝักใฝ่ “ไสยศาสตร์-มนต์ดำ” ที่พระพุทธเจ้าทรงระบุว่าเป็น “เดียรัจฉานวิชา” โดย “ผู้ฝักใฝ่ไสยศาสตร์มนต์ดำ” จะมีข้อห้าม ซึ่งหาก “กระทำผิดข้อห้าม” หรือที่ทางอีสานเรียกว่า “คะลำ” ก็จะเกิดโทษหนักในข้อผิดครู…ก็ “จะกลายเป็นผีปอบ” …นี่เป็นเรื่องราวเล่าสืบต่อกันมาเกี่ยวกับผีชนิดนี้ ที่ก็“ยึดโยงเกี่ยวกับการปรามมิให้ทำบาป”

ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่ ณ ที่นี้พลิกแฟ้ม “เรื่องผี ๆ” มานำเสนอวันนี้ ก็มิใช่ว่าจะมาชี้ผิดชี้ถูกอะไรอย่างไร ก็เป็นแต่เพียงสะท้อนไว้อีกครั้งถึง “ปรากฏการณ์เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องผีในสังคมไทย” ที่กล่าวได้ว่า “ผีกระสือ” ที่เพิ่งมีกระแสอื้ออึงอีกล่าสุดนั้น…ก็ประมาณว่า สมศักดิ์ศรี “ผีอมตะ” สมราคาที่เป็นหนึ่งใน “ผีหัวแถว” ส่วน ใครไม่เชื่อ?-ใครเชื่อ?…ย่อมเป็นสิทธิ…

ที่ “ชวนคิด” นั้นก็มิใช่ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

แต่เป็น “เชื่อแล้วมีผลต่อชีวิตเช่นไร??”

และ “ทำให้เป็นด้านบวกได้หรือไม่??”.