นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม ๆ ตั้งแต่แถลงนโยบายการทำงานของรัฐบาลเมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 จนถึงปัจจุบันเป็นนายกฯ เข้ามาบริหารประเทศได้ 1 เดือน 9 วัน แต่นายเศรษฐาฟิตจัดทำงานสัปดาห์ละ 6-7 วัน

วัน ๆ มีภารกิจประชุมหลายคณะ ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว การแต่งตั้งตำรวจ ปัญหาน้ำท่วม-น้ำแล้ง การปราบปรามหมู-เนื้อวัวเถื่อน เรื่องการขนแรงงานไทยกลับจากประเทศอิสราเอล

สลับกับการเดินสายไปตรวจราชการต่างจังหวัดหลายจังหวัด และไปเยือนต่างประเทศในฐานะผู้นำคนใหม่ พร้อมทั้งเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย นับตั้งแต่การไปร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ไปเยือนกัมพูชา ฮ่องกง บรูไน มาเลเซีย สิงคโปร์ ไปร่วมประชุมกับผู้นำจีนผู้นำรัสเซีย พร้อมสวมวิญญาณ “เซลส์แมน” พบผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีน แล้วไปประชุมต่อที่ซาอุดีอาระเบีย

ส่วนเดือน พ.ย. นายกฯ ยังมีคิวไปประชุมเอเปค ที่ซานฟานซิสโก สหรัฐ และเดือน ธ.ค. 66 จะไปเยือนญี่ปุ่น

ถึงขนาด นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ยังออกปากว่า “ถ้าพูดถึงเซลส์แมนที่ชื่อนายเศรษฐา ผมว่าให้คะแนนเกินร้อยในเรื่องของความตั้งใจ”

ปัจจุบันมีการสู้รบระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และการสู้รบระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ท่ามกลางกระแสการเมืองโลกที่ “ขั้วอำนาจใหญ่” มีความขัดแย้งกันหนักเกี่ยวกับ “ภูมิรัฐศาสตร์โลก”

ดังนั้นนายเศรษฐาจึงต้องเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศไปในจุดที่พอเหมาะพอดี เพราะนอกเหนือจากเกมการเมือง ยังมีสงครามการค้าการลงทุน เพื่อดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ ไม่เช่นนั้นนายเศรษฐาคงไม่นั่งรถยนต์ไฟฟ้ามาทำเนียบรัฐบาล และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าต้องการเชิญชวนบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาลงทุนผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

จากข้อมูลกรมการขนส่งทางบก เกี่ยวกับการจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ครึ่งแรกปี 66 หรือสถิติจดทะเบียนรถพลังงานไฟฟ้าทั่วประเทศตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค. 66 มีรถจดทะเบียนตามกฎหมาย 32,450 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 65 ถึง 474.43% แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนายเศรษฐาจึงพยายามจีบค่ายรถยนต์ไฟฟ้ายักษ์ใหญ่จากอเมริกา-จีน ให้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์แบบทั้งคันในประเทศไทย

นอกจากนายกฯ แล้ว รัฐมนตรีคนอื่น ๆ ก็รีบเข็นผลงานกันออกมา ทั้งการลดค่าไฟฟ้า ลดราคาน้ำมันดีเซล และกำลังทำแผนลดราคาน้ำมันเบนซินในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกันก็ลดราคาค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วง-สายสีแดง เหลือ 20 บาท ทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอีกกว่า 10% (17 ต.ค. 66) รวม 2 สาย มีผู้โดยสารทะลุกว่า 1 แสนเที่ยว/วัน เข้าไปแล้ว

เมื่อค่ารถไฟฟ้าถูกลง ถือเป็นการช่วยลดภาระให้ประชาชนเหลือเงินในกระเป๋ามากขึ้น การเดินทางสะดวกรวดเร็ว ประหยัดเวลา ลดการใช้พลังงาน เพราะใช้รถยนต์ส่วนตัวกันน้อยลง ช่วยแก้ปัญหามลภาวะฝุ่นควันพิษ ถ้ามีขยายเส้นทางรถไฟฟ้า 20 บาทมากขึ้น ต่อไปจะมีคนมาใช้บริการมากขึ้นกว่าเดิม บริษัทห้างร้านจะมาซื้อโฆษณาบนรถไฟฟ้าตัวสถานีมากขึ้น ทำให้ภาครัฐอาจไม่ต้องจ่ายเงินเข้าไปอุดหนุนค่ารถด้วยซ้ำไป

จากนั้นวันที่ 1 ก.พ. 67 รัฐบาลนายเศรษฐาจะกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้กับทุกคนที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป คนละ 1 หมื่นบาท ไปจับจ่ายใช้สอยในรัศมีที่ยังไม่ได้กำหนดชัดเจนว่า 4 กม. หรือ 10 กม. จากบ้านพัก หรือใช้จ่ายได้ภายในเขตอำเภอ ภายในระยะเวลา 1 เดือน

เป็นการทำโครงการครั้งเดียวจบ! เพื่อให้เม็ดเงินประมาณ 5.6 แสนล้านบาท ไปหมุนอยู่ในระบบเศรษฐกิจกระจายทุกอำเภอทั่วประเทศ อย่างน้อย 2-3 รอบ เพื่อสร้างกำลังซื้อครั้งใหญ่ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวไปให้ถึง 4-5% และเงินดิจิทัลโครงการนี้จะต่อยอดไปสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ด้วยระบบ “บล็อกเชน” ในอนาคตด้วย

1 เดือน 9 วัน ในตำแหน่งนายกฯ ของนายเศรษฐา ทำให้หลาย ๆ คนรู้สึกว่าประเทศไทยและประชาชนเสียโอกาส และเสียเวลาไปมากมายจริง ๆ กับ 9 ปีที่ผ่านมา!!

———————————
พยัคฆ์น้อย