นักวิเคราะห์เปรียบเหตุการณ์ที่กลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์บุกถล่มอิสราเอลในฉนวนกาซาว่า คือ เหตุการณ์ 9/11 ช็อกโลก ในตะวันออกกลาง ข้อมูลวันอังคาร 10 ต.ค.2566 มีคนไทยเสียชีวิต 18 คน บาดเจ็บและถูกจับเป็น “โล่มนุษย์” อีกนับสิบ ๆ มีคนไทยไปทำงานในอิสราเอลมากถึง 3 หมื่นกว่าคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานด้านเกษตร นักรบแรงงานเหล่านี้ต้องกู้เงินเป็นแสนเพื่อไปหาชีวิตที่ดีกว่า ส่งเงินกลับมาสร้างบ้าน เลี้ยงดูพ่อแม่ ลูกเมีย เพราะพื้นเพล้วนยากจน แม้รัฐบาลจะเอาเครื่องบินเหมาลำไปรับกลับ แต่ขอกลับแค่ 2 พันคนที่เหลือคืออยู่ต่อ แม้จะเสี่ยงภัยสงครามก็ตาม

อดคิดไม่ได้ว่า หากบ้านเกิดมีงานที่ได้เงินมากพอ ไม่ต่ำเตี้ยติดดินเกินไป เป็นประเทศพัฒนาหลุดกับดักรายได้น้อย นักรบแรงงานเหล่านี้อาจไม่ต้องรอนแรมไปทำงานต่างแดนซึ่งบางครั้งอันตรายถึงชีวิต ก็ได้แต่แสดงความเสียใจกับครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ภาวนาให้คนเจ็บหายโดยไว ให้คนที่ถูกจับกลับมาปลอดภัย และไม่บานปลายกลายเป็น “วิกฤติสงครามทะเลทราย” ในที่สุด ซึ่งนั่นจะเป็นเรื่องใหญ่เลย

กลับมาที่นโยบายแจกเงิน “ดิจิทัล 1 หมื่นบาท” ซึ่งพรรคเพื่อไทย “เทหมดหน้าตัก” หวังเป็นผลงานโบแดง เรียกความเชื่อมั่นที่ตระบัดสัตย์เปลี่ยนจุดยืนร่วม 2 ลุง กลับคืนมา กลับต้องเผชิญวิบากกรรมมากมาย

ล่าสุดมีนักวิชาการเศรษฐศาสตร์และอดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ 2 คน วิรไท สันติประภพ กับ ธาริษา วัฒนเกส รวม 117 คน ลงชื่อเรียกร้องให้ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ทบทวนนโยบายแจกเงิน 1 หมื่น อ้าง 3 เหตุใหญ่ ย่อ ๆ คือ

  • 1.เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ไม่ได้อยู่ในห้องไอซียู จีดีพี ปีนี้โต 2.8% และ ปีหน้าจะโต 3.5% ไม่จำเป็นต้องใช้ยาแรงปั๊มหัวใจ
  • 2.เงิน 5.6 แสนล้าน เอาไปลงทุนพัฒนาคนหรือแก้ปัญหาน้ำท่วม ฝนแล้ง ดีกว่า
  • 3.การคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะหมุน 5-6 รอบ คือสิ่งเลื่อนลอย จะเกิดเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง มากกว่า

สรุปสุดท้าย ได้ไม่คุ้มเสีย ว่างั้นเถอะ

แทบเป็นครั้งแรกที่นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ตื่นมาคัดค้านนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลขนาดนี้ แต่เป็นความจริงที่หลายคนมากคือผู้ที่ดาหน้าเป่านกหวีดเรียกกองทัพมาล้มรัฐบาลพลเรือน ตลอด 9 ปีที่ผ่านมาในรัฐบาลระบอบ 3 ป. ที่ทำ “นโยบายโคตรประชานิยม” กู้เงินมาแจกจนต้องขยายเพดานเงินกู้ กลับไม่เคยเห็นคนเหล่านี้แสดงจุดยืนเลย

จึงไม่แปลกที่นายกฯเศรษฐา จะยืนยัน เดินหน้าทำโครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นต่อไป

แม้ในความจริง นโยบายแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นให้คนอายุ16 ปีทุกคน จะคิดไม่รอบด้านจริง ทั้งการให้ใช้เงินในพื้นที่ 4 กิโลเมตร จากทะเบียนบ้าน ภายใน 6 เดือน แจกถ้วนหน้า รวย จน ได้หมด หรือที่สุด จะเอาเงินจากไหนมาทำก็ยังไม่ชัด แต่เห็นการเคลื่อนไหวของผู้นำ “เซเลบ” ทางความคิดและนักวิชาการที่อิงแอบเผด็จการแล้ว บอกตรง ๆ ไม่เชื่อว่าจะติงโดยบริสุทธิ์ใจ แต่น่าเป็นเรื่อง “อคติ” ต่อนักการเมืองมากกว่า

ท่ามกลางข่าวนี้ หากย้อนไปก่อนหน้า นายกฯ เศรษฐา ก็ได้เชิญผู้ว่าแบงก์ชาติ เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ มาหารือ กลบข่าว จะปลดผู้ว่าแบงก์ชาติ เพราะคัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัลมาแล้วการออกมาเคลื่อนไหวของ 117 นักวิชาการ จะเป็นการ “รับลูกต่อ” หรือไม่ ไม่ทราบ?!?

แต่ทำให้คิดไปถึง อ.โกร่ง ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ที่ปรึกษามือฉมัง “ป๋าเปรม” และกูรูเศรษฐกิจมหภาคผู้ล่วงลับ อ.โกร่งเคยพูดถึงแบงก์ชาติว่า แบงก์ชาติต้องมีอิสระ (นโยบายการเงิน) แต่ไม่ใช่ “รัฐอิสระ” ทำอะไรตามใจชอบ หากไม่เอานโยบายรัฐบาล มี 2 ทางเลือก 1.ไม่ออกมาต่อต้าน 2.เมื่อไม่เห็นชอบ ผู้ว่าการก็ลาออกรักษาจุดยืน เพราะรัฐบาลประชาธิปไตย ต้องรับผิดชอบทางการเมือง ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา หากประชาชนไม่พอใจ ก็สั่งสอนไม่เลือกเข้ามาอีก กลายเป็น สส.สอบตกในที่สุด

เหนืออื่นใดรัฐบาลทหารเอาเงินไปซื้ออาวุธอีลุ่ยฉุยแฉก ขนาดเรือดำน้ำไม่มีเครื่องยนต์ยังซื้อ แจก สว.ลากตั้ง และองค์กรอิสระ ไม่อิสระ มากมาย เพื่อต่อท่ออำนาจตนเองไม่รู้กี่แสนล้านในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

เอาเงินประชาชนมาแจกประชาชนบ้าง จะเป็นไร จะทบทวนให้การแจก 1 หมื่น รัดกุมขึ้น ก็ทำไป ใครไม่เอา ก็ไม่ต้องรับ…แค่นั้น

————-
ดาวประกายพรึก