ความปราชัยคาบ้าน 1-3 ต่อ ไบรท์ตัน เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แพ้ไปแล้วถึง 3 จาก 5 นัดในศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ และนั่นคือสถิติที่ย่ำแย่ที่สุดในรอบ 34 ปี รวมทั้งยังทำให้พวกเขาหยุดสถิติไร้พ่ายในรังเหย้าในลีกเอาไว้ที่ 20 นัด

            หากว่ากันที่ฟอร์มการเล่นต้องบอกว่า รูปเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เป็นรอง ไบรท์ตัน เลย โดยเฉพาะในครึ่งแรก

            ทว่าปัญหาก็คือเกมรุกของพวกเขายังไร้รูปแบบที่แน่นอน ขาดความเฉียบคม โดยหวังพึ่งเพียงความเร็วของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ในจังหวะสวนกลับเท่านั้น

            ขณะที่เกมรับยังคงเป็นจุดสลบที่ทำให้ อสูรแดง กลายเป็นทีมคางเปราะที่พร้อมโดนคู่แข่งปล่อยหมัดน็อกเข้าใส่ได้ตลอดเวลา ซึ่งเกมนี้ก็ต้องชม เจ้านกนางนวล ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความผิดพลาดในแนวรับของเจ้าถิ่นได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

            3 ประตูที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เสียให้ ไบรท์ตัน เกิดจากความหละหลวมในการตามประกบคู่แข่ง โดยประตูแรก แดนนี เวลเบ็ค ได้วิ่งเข้ามาแปลูกเปิดของ ไซมอน เอดินกรา เข้าไปแบบโล่ง ๆ หลัง สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เอาแต่ใจลอยมองแต่บอลโดยไม่ทันได้สังเกตว่า อดีตลูกหม้อของเรด เดวิลส์ กำลังวิ่งโฉบเข้าไปในเขตโทษ

            ส่วนประตูที่ 2 กลายเป็นคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟอย่าง วิคตอร์ ลินเดเลิฟ กับ ลิชา มาร์ตีเนซ ที่ตอบสนองต่อลูกไหลเข้ากลางแบบแป้ก ๆ ของ ทาริก แลมพ์ตีย์ ช้าเกินไปจนบอลหลุดไปถึง ปาสกาล โกรสส์ ที่โยกหลอกกองหลังแชมป์โลกจนเสียสุนัขไปหนึ่งทีก่อนจะซัดผ่านมือ อองเดร โอนานา เข้าไปอย่างเฉียบขาด ซึ่งนับเป็นประตูที่ 7 ที่เจ้าตัวยิงใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด เข้าให้แล้ว แถม 4 ลูกยังเกิดขึ้นที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด อีกต่างหาก

            ขณะที่ประตูที่ 3 ต้องบอกว่า เหมือนฉายหนังม้วนเดิม เมื่อ แลมพ์ตีย์ ไหลบอลต่อให้ตัวสำรองอย่าง ชูเอา เปโดร ที่ยืนอยู่คนเดียวโล่ง ๆ ในกรอบเขตโทษ ซัดบอลผ่านมือ โอนานา เข้าไปนอนสงบนิ่งอยู่ในก้นตาข่าย โดยถึงแม้ ฮานิบาล เมจ์บรี จะพังประตูตีไข่แตกให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ตามมาเป็น 1-3 ได้อย่างทันควัน แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

            จากผลงานในช่วงออกสตาร์ตที่ไม่สู้ดีนักดูเหมือนว่า จะทำให้สาวก เรด อาร์มี บางส่วนเริ่มตั้งคำถามกับ เอริค เทน ฮาก บ้างแล้วว่า จะเป็นกุนซือที่สามารถพา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับมายิ่งใหญ่ได้จริงหรือ?

            เกมนี้มีเสียงโห่ใส่ อีทีเอช 2 ครั้งคือในจังหวะที่ถอด ราสมุส ฮอยลุนด์ ที่โชว์ฟอร์มได้ดี และเกือบมีชื่อเป็นผู้พังประตูหากไม่โดน VAR ริบคืนเสียก่อน ออกไปพัก และส่ง อองโตนี มาร์กซิยาล ลงมาเล่นแทนในนาทีที่ 64 ซึ่ง กุนซือชาวดัตช์ ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะสภาพร่างกายของ ฮอยลุนด์ ยังไม่ฟิตมากพอที่จะลงเล่นจนครบ 90 นาที ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้

            ขณะที่อีกครั้งเกิดขึ้นหลังจบเกม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเมื่อมองจากวิธีการเล่นของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ยังไม่ได้มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นไม่ว่าจะเป็นเกมรุก หรือ เกมรับ ทั้งที่ เทน ฮาก มีเวลาลองผิดลองถูกมาแล้ว 13 เดือน แถมยังถลุงเงินในการเสริมทัพไปมิใช่น้อย

            อย่างไรก็ตาม การออกมาเรียกร้องให้ปลด เทน ฮาก ออกจากตำแหน่งก็ดูจะเร็วเกินไปหน่อยเพราะหากมองให้ลึกลงไปแล้วจะเห็นได้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ดชุดนี้ยังมีนักเตะประเภทตัวไวรัส และพวกฝีเท้าไม่ถึงมาตรฐานแถมทัศนคติยังย่ำแย่ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่สมัยที่ เอ็ด วูดเวิร์ด ยังเรืองอำนาจอยู่อีกหลายราย

            ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ เทน ฮาก จะพา แมนฯ ยูไนเต็ด กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่ โดยยังมีนักเตะประเภทนี้เดินลอยหน้าอยู่เต็มทีม และเขาก็ควรจะได้เวลาพิสูจน์ผลงานต่อไปอย่างน้อยก็จนกระทั่งจบฤดูกาลนี้ เราจึงจะสามารถตัดสินได้ว่า กุนซือชาวดัตช์ คือคำตอบสุดท้ายของ แมนฯ ยูไนเต็ด จริงหรือไม่.

แท ยอน