หนึ่งในนโยบายของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน คือการ “พัฒนากองทัพ” โดยรัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการปรับโครงสร้างของหน่วยงานความมั่นคงให้มีความทันสมัย สามารถตอบสนองต่อการคุกคามและภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ในศตวรรษที่ 21 และรัฐบาลจะร่วมกันพัฒนากองทัพให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาศักยภาพของประเทศพร้อมกับประชาชน โดยเฉพาะการเปลี่ยนรูปแบบการ “เกณฑ์ทหาร” มาเป็นแบบสมัครใจ ที่มีการพูดถึงกันมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
วันนี้ทีมข่าว Special Report สนทนากับ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (อดีตเลขาฯสมช.) กล่าวว่าตอนนี้เราได้เห็นข้อเท็จจริงเรื่องการเกณฑ์ทหาร และจำนวนของผู้มาสมัครเป็นทหาร
ตัวเลขการสมัครใกล้ความจริง!ไม่ต้องเกณฑ์ทหารโดยอัตโนมัติ
เมื่อก่อนเราต้องการทหารเกณฑ์ปีละ 90,000 คน ก็เคยมีคนมาสมัครเป็นทหารถึง 40,000 คนนะ! หลังสุดปี 65-66 ประมาณ 58,000 คน แต่มีคนแห่มาสมัครถึง 35,617 คน (มี.ค.66) ตรงนี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่เข้าใกล้ความเป็นจริงแล้วว่าต่อไปอาจจะไม่มีการเกณฑ์ทหารโดยอัตโนมัติ หรือเดือนเม.ย.67 อาจจะไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ไม่มีการจับใบดำ-ใบแดงอีกแล้ว ถ้ายอดสมัครครบตามจำนวนที่ต้องการทหารใหม่ โดยไม่ต้องแก้กฎหมายกลาโหมเพื่อยกเลิกการเกณฑ์ทหาร
วันนี้ถ้ากระทรวงกลาโหมไปคุยกับกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบบูรณาการ เพื่อลดบทบาทหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ต่อไปนี้งานปราบปรามยาเสพติด งานพัฒนา งานบรรเทาสาธารณภัย กอ.รมน.ต้องลดบทบาทของตัวเอง ก็จะลดการใช้กำลังทหารเกณฑ์ลงด้วย ถ้าคุยกันได้เร็ว ต่อไปอาจไม่ต้องการทหารเกณฑ์ถึง 58,000 คน อาจจะต้องการแค่ 35,000 คน เท่ากับยอดการสมัครในปีนี้
“ผมว่าถ้ารัฐบาลชุดปัจจุบันมีความเข้มแข็ง และยืนยันนโยบายการพัฒนากองทัพให้ชัดเจน มะรืนนี้ (13ก.ย.) หลังจากแถลงนโยบายของรัฐบาลเสร็จแล้ว ก็สามารถเปิดรับสมัครทหารได้เลยทันที ไม่ต้องรอถึงช่วงต้นปี 67 ก่อนเดือนเม.ย.จึงเปิดรับสมัคร เพราะถ้าเราเปิดรับสมัครทหารเร็วขึ้น เพื่อมีเวลาในการกลั่นกรองตัวบุคคล ดูเรื่องบุคลิกภาพ จัดเตรียมห้องฝึกอบรมทางออนไลน์ และเตรียมสถานที่ฝึกภาคสนามในพื้นที่แต่ละกองทัพภาคอย่างเหมาะสม”
ลด “ภารกิจรอง” ของกองทัพ-ความต้องการทหารใหม่จะน้อยลง!
พล.ท.ภราดรกล่าวต่อไปว่าถ้าเราเปิดรับสมัครทหารเร็วขึ้นกว่าปีที่แล้ว และให้สิทธิทหารเกณฑ์ซึ่งใกล้จะปลดประจำการ หรือปลดประจำการไปแล้ว 1-2 ปี แต่อายุไม่เกิน 25 ปี และยังไม่มีงานทำ สามารถมาเข้ารับสมัครเป็นทหารอีกได้ เพื่อคนเหล่านี้จะได้มีเวลาตัดสินใจ ว่าเขาควรเลือกเส้นทางเดินชีวิตไปทางไหน ใครเรียนดี มีความสามารถ มีคุณสมบัติครบถ้วนอาจจะได้รับสิทธิเข้าโรงเรียนนายสิบ โดยใช้เวลาในการเรียน และการฝึกสั้นลงจากปกติ แล้วบรรจุเป็นข้าราชการทหารชั้นประทวนต่อไปได้เลย
ต่อไปโรงเรียนนายสิบอาจจะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่ จากที่เคยรับสมัครและสอบคัดเลือกเข้ามาเป็นหลัก อาจจะต้องรับโอนจากทหารเกณฑ์ (ทหารสมัคร) มากขึ้น เพราะส่วนใหญ่ที่มาสมัครเป็นทหารมีวุฒิการศึกษาได้มาตรฐานอยู่แล้ว และอาจจะต้องขยายอายุการรับสมัครไปถึง 35 ปี ซึ่งกองทหารอาสาทั่วไปในหลายประเทศก็เปิดรับสมัครบุคคลที่อายุไม่เกิน 35 ปี ด้วยซ้ำไป เนื่องจากคนในวัยนี้ร่างกายยังแข็งแรง และคล่องแคล่วกระฉับกระเฉง เราจะได้ทหารใหม่ที่มีคุณภาพ เพราะสงครามการสู้รบในอนาคต ทหารจะไม่ได้เห็นตัวกันแล้ว แต่ใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ดังนั้นทหารจึงต้องเก่งเรื่องเทคโนโลยีสมัยใหม่ และสามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้เร็ว
“วันนี้กลาโหม มหาดไทย และตำรวจ ควรไปหารือแบบบูรณาการกันอย่างจริงจัง เพื่อลดงานที่ไม่ใช่ภารกิจหลักของกองทัพและกอ.รมน. ตรงไหนที่กอ.รมน.เคยเป็นประธานต้องค่อยๆถอยออกไป เนื่องจากภารกิจหลักของกองทัพคือ 1.ป้องกันประเทศจากภัยคุกคามจากนอกประเทศ 2.เตรียมความพร้อมในการป้องกันประเทศ ส่วนงานอื่นคือภารกิจรอง หรืองานในฐานะผู้สนับสนุนเท่านั้น ถ้าลดงานในภารกิจรองของกองทัพ-กอ.รมน.ลงไป ความต้องการทหารเกณฑ์ (ทหารใหม่) อาจจะเหลือเท่ายอดที่มาสมัครในปีนี้ 35,617 คน เพราะโอกาสที่จะมีภัยคุกคามหรือมีสงครามจากนอกประเทศแทบจะเหลือเป็นศูนย์ ดังนั้นเผลอๆ อาจมาสมัครเป็นทหารกันถึง 40,000 คน ต้องเสียเวลาคัดออกอีก เนื่องจากทหารมีเงินเดือน มีค่าตอบแทนเหมือนข้าราชการทั่วไป และยังมีสวัสดิการต่างๆในทางอ้อมด้วย” พล.ท.ภราดร กล่าว