วันนี้ ”คอลัมน์ตรวจการบ้าน” มีโอกาสมาสนทนากับ “บิ๊กทิน” นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ถึงการเตรียมตัวเตรียมใจ เข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ตั้งเป้าไว้อย่างไร และคิดว่าจะพากองทัพไปในทิศทางใด จะเข้ามาล้างภาพจากการแข็งกร้าว จากการเป็นผู้ทำรัฐประหาร มาเป็นความอบอุ่นดูแลประชาชนด้วยหัวใจและทำให้เกิดความไว้วางใจไม่ระแวง ซึ่งกันและกันระหว่าง ”การเมืองกับทหาร” ได้อย่างไร

โดย “บิ๊กทิน” เริ่มเปิดประเด็นกล่าวถึงนโยบายว่า เรามาเพื่อผลักดันนโยบายของพรรคเพื่อไทยให้เกิดผลสำเร็จนี่คือเป้าหมายใหญ่ ซึ่งนโยบายของพรรคเพื่อไทย คือ ทำเพื่อกองทัพและประชาชน เราเข้ามาก็เพื่อ “ปฏิรูปกองทัพ”ให้ดีขึ้น แต่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ใช้คำว่า“ร่วมกันพัฒนากองทัพ” ไม่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยมองกองทัพแบบอคติ แต่คนที่มอง คือ สังคม ที่เรียกร้องว่าต้องปฏิรูปกองทัพ โดยปฏิรูปกำลังพลในการลดกระชับกำลังพล ต้องยอมรับว่ากองทัพก็ดำเนินการอยู่ ดังนั้นเราต้องสนับสนุนกองทัพทั้งเรื่องกฎหมายและงบประมาณ แล้วเมื่อจำนวนนายพลลดลงก็ต้องทดแทนด้วยเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้ทั้งทางยุทธการและด้านบริหาร เพื่อมุ่งสู่กองทัพไซเบอร์ แต่ไม่ได้หมายความว่าจัดตั้งกองทัพขึ้นมาใหม่ แต่จะต้องเติมโครงสร้างของแต่ละกองทัพเพิ่มขึ้น

ส่วนแนวคิดในการเกณฑ์ทหาร ซึ่งมีคนพูดในเรื่องนี้มาก แต่ก็เป็นหน้าที่ที่เราต้องเข้ามาทำ สิ่งที่คิดไว้ คือปรับ 2 ปรับ สิ่งแรกคือ ปรับสวัสดิการ และต่อมาคือปรับทัศนคติ การปรับสวัสดิการไม่ใช่ขึ้นเงินเดือนอย่างเดียว แต่ปรับค่ารักษาพยาบาล และปรับแนวทางการเรียนต่อ หรือทำงานต่อ ส่วนการปรับทัศคติที่เป็นผลลบในการสมัครทหารเกณฑ์ โดยเฉพาะไม่ให้ราคาพลทหารเกณฑ์ ซึ่งเราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติให้คุณค่า และยกย่อง เหมือนกับต่างประเทศ ส่วนการฝึกทหารโหด และทารุณ จะต้องทำให้ทุกคนหมดความเชื่อนี้ให้ได้ โดยมุ่งให้ระบบการซ้อมมีมาตรฐานไม่ทารุณโหดร้ายเหมือนในอดีต  หากทำทั้งหมดนี้ได้จะมีคนมาสมัครทหารเยอะเกินอัตรารับ และปีนี้จะเห็นการเกณฑ์ทหารน้อยลง 

@ ทำไมถึงเปลี่ยนคำว่า “ปฏิรูปกองทัพ” เป็นคำว่า “ร่วมกันพัฒนากองทัพ” 

ผมคิดว่าคนมักไปใช้คำว่า ปฏิรูปในทำนองว่าไปรุกไล่กองทัพ และจะทำให้เกิดขวัญและกำลังใจไม่ดีกับกองทัพด้วย ดังนั้นผมจะใช้วิธีการบริหารงานแบบ “ปรับปรนและปรับเปลี่ยน” ร่วมกันพัฒนากองทัพ ซึ่งจะค่อยเป็นค่อยไป เป็นไปตามสถานการณ์ความเป็นจริงและบริบทของสังคม

@ เมื่อพรรคเพื่อไทยลดโทนลงแบบนี้ คนเสื้อแดงจะเข้าใจหรือไม่ และอาจทำให้คะแนนนิยมลดลงไป

เชื่อว่าคนเสื้อแดงเข้าใจ และวันนี้ คนเสื้อแดงก็พร้อมจะปรองดองด้วยซ้ำไป เชื่อว่าคะแนนนิยมจะไม่ลดลง เพราะสุดท้ายเราแน่วแน่ หนักแน่นในเป้าหมาย และยืดหยุ่นในวิธีการ ถามว่าพวกเราอยากได้อะไร อยากได้วิธีการหรือเป้าหมาย ทุกคนล้วนแต่อยากได้เป้าหมาย ทำอะไรก็แล้วแต่ขอให้เกิดผลสำเร็จไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนก็แล้วแต่ เมื่อก่อนใช้วิธีรุนแรงและเผชิญหน้าแล้วมันได้ผลหรือไม่ ฉะนั้นอาจต้องมาปรับวิธีกันใหม่มันก็อาจจะได้และดีกว่า

@ จะชี้แจงกับคนเสื้อแดงอย่างไรที่เรายอมลดโทนกับกองทัพ เหมือนกับที่เราหักหลังไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล

การที่ลดโทนแบบนี้ประชาชนได้ประโยชน์มากกว่า แล้วขอถามกลับว่า พรรคเพื่อไทยไปหักหลังพรรคก้าวไกลตรงไหน ใครหักหลังใครกันแน่ พรรคเพื่อไทยเรายกมือให้คุณแต่คุณไม่ยกมือให้เรา เราเสนอยกมือให้คุณเป็นนายกฯ 3 รอบ ตั้งแต่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เราเทคะแนนทั้งหมดให้ ยืนยันว่า ทุกอย่างทำเปิดเผยต่อสาธารณะทั้งสิ้น ไม่ได้ไปแอบเจรจาตรงไหน เราทำแบบโปร่งใส ถ้าเราตั้งรัฐบาล เสนอนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ขึ้นเป็นนายกฯ แล้วพรรคเพื่อไทยไม่ยกมือให้ แล้วพรรคเพื่อไทยมาตั้งรัฐบาลเอง ถ้าแบบนั้นคือการหักหลัง ย้ำว่า เราเดินจนสุดทางเทให้จนหมดหน้าตักแล้ว

@ ที่เราลดโทนลงเป็นเพราะมีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นตัวประกันหรือไม่

ไม่เกี่ยวกัน ไม่เกี่ยว”ทักษิณ” การลดโทนอาจจะเป็นเพราะบุคลิกของรมว.กลาโหม ในเมื่อสไตล์ผมก็เป็นแบบนี้แล้วผมคิดว่ามันได้ผลด้วย ดีกว่าโหดเหี้ยมเสียอีก

@ จะเป็นการปรองดองหรือไม่กับภาพที่ออกมาว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้เดินทางพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และตัวของนายสุทินจะพบกับ “2 ป.” ด้วย 

ก็เป็นการส่งสัญญาณให้เกียรติซึ่งกันและกันเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่า จะได้นัดหมายพบเจอกันหรือไม่ ส่วนเรื่องการเช็คบิลกับคณะรัฐประหารปี 57 เป็นคนละเรื่องกัน ใครทำผิดอะไรก็ให้ว่ากันไปตามกระบวนการ ยอมรับว่าความรู้สึกที่พรรคเพื่อไทยโดนรัฐประหารถึง 2 ครั้งไม่ได้หายไปจากใจในทันที แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาจองเวรกัน ถ้าจองเวรกันแล้วบ้านเมืองและประชาชนจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ 

“ผมเข้ามาก็มีข้อดีอยู่ ยุคนี้จะเป็นยุคที่ดี ผมเป็นรัฐมนตรีไม่มีเหล่า ผมไม่มีรุ่น ฉะนั้นทุกเหล่าทุกรุ่นเริ่มต้นพร้อมกันหมด ผมไม่ได้รู้จักใครผมไม่มีเพื่อนร่วมรุ่น ผมมาที่นี่ก็เป็นนายสุทินและก็ให้โอกาสทุกคนทุกเหล่าทุกรุ่น” 

@ เรื่องจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จะทำอย่างไร

วันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก เบื้องต้นไม่ทราบว่า จะมีการจัดซื้อยุทโธปกรณ์อะไรบ้าง แต่ก็จะเข้าไปดูบนหลักการของเหตุผล ถ้ามีความจำเป็นก็ซื้อ ซึ่งในนโยบายของรัฐบาลหากมีการจัดซื้อจริงขอให้อุดหนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศภายในก่อน ถ้าในประเทศไม่มีหรือมีแต่ไม่สมบูรณ์ก็จะต้องสั่งจากต่างประเทศ พร้อมขอให้ต่างประเทศซื้ออะไหล่และชิ้นส่วนจากประเทศไทยได้หรือไม่ เพื่อให้กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนเรื่องการจัดซื้อเรือดำน้ำเชื่อว่านายกฯจะมีทางออกที่ดีเพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียประโยชน์

@ ตั้งเป้าหรือไม่ว่าจะลดการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ได้กี่เปอร์เซนต์ เพื่อลดภาระงบประมาณ

พอเข้าไปทำงานแล้วจะมาดูรายละเอียดอีกครั้ง และนายกฯก็จะชวนเหล่าทัพมาพิจารณาเบื้องต้นถ้าใช้งบประมาณเยอะแล้วไม่มีประโยชน์และไม่มีเหตุผลก็ต้องลดงบประมาณในส่วนนี้ แต่ถ้า มีเหตุผลความจำเป็นก็ไม่ต้องลดงบประมาณ หรือลดงบประมาณ เพื่อเกลี่ยไปใช้ในส่วนอื่นที่จำเป็นมากกว่า เช่น โยกไปที่กองทัพไซเบอร์ หรือเทคโนโลยีใหม่ เป็นต้น

@ ความคาดหวังของประชาชน ต่อรมว.กลาโหม ที่จะเอาการเมืองออกจากการทหารจะเกิดขึ้นได้หรือไม่

ตนคิดว่าทำได้ แต่คงไม่ 100% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ฉะนั้นต้องมาจำกัดความว่า ระดับไหน คือ การก้าวก่าย ชื่อว่ากองทัพจะมากดดันรัฐบาลให้ทำโน้นทำนี่คงไม่มี