ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ก็มีรายงานข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรมทางไซเบอร์มากมาย สาเหตุเพราะช่วงที่รัฐบาลออก พรก.ควบคุมโรคนั้น มีกฎเกณฑ์มากมายหลายอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อ ทำให้หลายคนไม่ได้ออกไปไหนต้องอยู่ทำงานในบ้าน เวลาสั่งซื้อของก็ใช้ช่องทางออนไลน์เท่านั้น บางคนโชคร้ายเจอมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไม่ยอมให้สินค้า ผู้เสียหายจึงต้องไปแจ้งตำรวจให้เอาผิด นอกจากนี้ยังมีคดีความผิดเกี่ยวกับทางเพศ คนร้ายจะพยายามใช้วิธีหลอกล่อให้หลงเชื่อว่ารักกันจริง แต่สุดท้ายก็หลอกไปร่วมหลับนอนด้วย แล้วก็ชิงทรัพย์หลบหนี บางรายพลาดถึงขนาดถูกลวงไปข่มขืนรุมโทรม กลายเป็นข่าวครึกโครม พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้นึกถึงซีรีส์ที่ติด TOP 5 ในแพลตฟอร์ม Netflix นั่นก็คือ Clickbait
ซีรีส์เรื่องนี้เขียนบทโดย โทนี่ อายส์ และ คริสเตียน ไวท์ โดยใช้ “ความเหงา” ในหัวใจเป็นแรงเหวี่ยงให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ เนื้อเรื่องเล่าถึง “นิก บริวเวอร์” (รับบทโดย เอเดรียน เกรเนียร์ ) คุณพ่อแฟมิลี่แมนผู้รักครอบครัวเป็นที่สุด ในคืนฉลองงานวันเกิดคุณแม่ “นิก” ทะเลาะกับน้องสาว “เพีย บริวเวอร์” (รับบทโดย โซอี้ คาซาน) ต่อมาวันรุ่งขึ้นเขาก็หายตัวไป ก่อนไปปรากฏตัวอยู่ในคลิปไวรัลที่มีภาพตัวเขาถูกซ้อมและชูป้ายที่มีข้อความว่า “…ผมเคยทำร้ายและฆ่าผู้หญิง หากยอดวิวคลิปนี้ถึง 5 ล้านการเข้าชม ผมจะถูกฆ่าตาย…” แน่นอนว่า “เพีย” ไม่มีทางเชื่อว่าพี่ชายของเธอจะทำร้ายผู้หญิง ขณะที่ตำรวจยังคงตามหาตัว “นิก” ไม่เจอ สุดท้าย “เพีย” และครอบครัวต้องลงมือสืบหาความจริงที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง
สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ คือการวางพล็อตเรื่องได้อย่างเป็นระบบ มีการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของตัวละครแต่ละตัว (ทั้งหมด 8 ตอน) เพื่อคลี่คลายความเป็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้รักครอบครัวคนนี้ ผู้ชมไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกและตัวละครหลักอื่น ๆ โดยบทบาทของแต่ละตัวละครถูกจัดวางให้มีน้ำหนักได้เท่าเทียม มีความสำคัญในแต่ละซีนแต่ละตอน เพื่อเชื่อมโยงไปสู่ข้อเท็จจริง ก่อนขมวดปมให้คลายความสงสัย อย่างเช่น ซีนอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องศีลธรรม การคบชู้ การนอกใจ ด้วยแรงเหวี่ยงของความเหงา สุดท้ายก็ยังทำให้ผู้ชมกลับมาเข้าใจได้ว่า “ความเหงา” นั้น แท้จริงแล้วต้นเหตุมันเกิดจากอะไรกันแน่
นอกจากนี้ยังมีซีนสะท้อนแง่มุมภาวะทางอารมณ์ของกลุ่มคนต่าง ๆ มากมาย ตั้งแต่ LGBTQ, มุสลิม, คนผิวดำ, คนเอเชีย และอื่น ๆ แน่นอนว่าผู้ชมบางส่วนอาจเกิดข้อสงสัยว่า จะใส่มาทำไมมากมาย เพราะตัวละครบางคนก็ไม่ได้มีความสำคัญเพียงพอจะต้องมีบทบาทขนาดนั้น แต่ทีมผู้สร้างก็สามารถแทรกเข้าไปได้เนียน ๆ ทำให้หนังยังดูราบรื่นอยู่ได้
โดยภาพรวมแล้ว Clickbait เป็นซีรีส์ดูสนุก ท้าทายผู้ชม และสร้างเซอร์ไพร้ส์ได้บ่อยครั้ง สิ่งที่เราคาดเดาเอาไว้ อาจไม่เป็นอย่างที่คิด และเมื่อดูซีรีส์เรื่องนี้จบลง หลายคนอาจเกิดคำถามขึ้นในใจว่า “…ความเหงามันน่ากลัวขนาดที่จะเป็นแรงเหวี่ยงให้เกิดเรื่องราวชนิดไม่คาดฝันแบบ Clickbait ได้จริงหรือไม่?…”.
ภาณุพงศ์ ส่องสว่าง